ถึงเธอสหายที่รักยิ่ง

ฉันเพิ่งกลับมาจากไปหาหมอฟัน ซาบซึ้งในคำพระที่ว่า ‘อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ’ อย่างถึงกึ๋นเชียวล่ะ

เมื่อเดือนก่อนปวดท้องโรคกระเพาะ ประคบประหงมจนอาการทุเลาได้ไม่เท่าไหร่ ภูมิแพ้ที่เพิ่งสำแดงอาการมาไม่นานก็กำเริบเสิบสานขึ้นอีกรอบ สาเหตุของอาการเกิดจากอะไรนั้นสุดรู้ จู่ๆ มันก็มา แล้วจู่ๆ มันก็ไป ไม่ทันได้รักษาอะไรซะด้วยซ้ำ

หายจากภูมิแพ้ได้อาทิตย์เดียวก็ปวดฟันขึ้นมาอีก ส่องกระจกแล้วส่องกระจกอีกก็ไม่เห็นว่ารูมันอยู่ตรงไหน ไม่ว่าจะมุมบน มุมล่าง มุมซ้าย มุมขวา มุมไหนๆ ก็ไม่เห็นฟันผุ แต่อาการปวดตุ้บๆ ไม่ยอมหาย คิดว่าไปให้คุณหมอรูปหล่อตรวจดูคงเข้าที

นั่งรอในคลินิกทำฟันราวสิบห้านาทีเศษๆ สำรวจโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย คุณผู้ช่วยทันตแพทย์ก็มาเชิญเข้าห้อง ขึ้นเตียงนุ่มน่านอน คุณหมอหนุ่มรูปหล่อในวิมานกลางอากาศกลายเป็นคุณหมอสาวหน้าแฉล้มฉีกยิ้มฟันเก๋

ฉันนอนอ้าปาก ให้คุณหมองัดซ้าย งัดขวา ผลที่ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับที่ฉันดูฟันตัวเองในกระจก ไม่มีฟันผุให้เห็น แต่มีคราบหินปูนเกาะหนากว่าปกติ ‘ปกติ’ นี่ก็ไม่รู้ว่าคุณหมอใช้มาตรอะไรวัด เผอิญฉันไม่ได้ถาม ได้คำแนะนำให้ขูดหินปูนก็เออออตามคุณหมอไป คุณหมอว่าไงก็ว่าตามนั้น ถือเสียว่ามาแล้วเสียตังค์ไม่เป็นไร อย่าให้เสียเที่ยวเป็นใช้ได้

เสียงเครื่องมือแพทย์ดังวื้อ...วื้อ... ผสานอาการเสียวจี๊ดๆ ชวนเคลิ้มซะไม่มี ไม่ว่าจะขูดหินปูนกี่ทีต่อกี่ทีเป็นต้องติดใจทุกทีสิน่า นี่ถ้าฉันมีแฟนเป็นทันตแพทย์ เชื่อเลยว่าต้องนอนอ้าปากให้เขาขูดหินปูนให้ทุกวันเชียวล่ะ

เกือบชั่วโมงหมอฟันคนสวยก็ทำหน้าที่เสร็จ คำแนะนำที่ฉันได้รับตามมาคือ มีฟันคุดหนึ่งซี่ด้านล่างขวาต้องผ่าออก(ตอนนี้ยังไม่สำแดงอาการอะไรทนรอต่อไปอีกนิดก็ไม่ว่ากัน แต่ยังไงก็ต้องผ่าโป๊ะเช๊ะ ฟังดูน่ากลัวจังแฮะ) ฟันกรามซี่ในสุดด้านบนทั้งซ้าย-ขวา ไม่คุด แต่ควรถอนออก เหตุผลคือ ถึงมีมันอยู่ก็ไร้ความหมาย ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ทำความสะอาดก็ไม่ถึง ปล่อยไว้รังแต่จะเกิดฟันผุ พานให้ซี่อื่นๆ ผุตาม ทางที่ดีที่สุดคือ จั๋งซี่มันต้องถอน!(อันนี้ก็น่ากลัว)

อะนะ ผ่าก็ผ่า ถอนก็ถอน บอกแล้วไงคุณหมอว่าไงก็ต้องว่าตามนั้น แต่ยังไม่ผ่าไม่ถอนกันตอนนี้ ขอเวลาทำใจหน่อยละกัน

สุดท้ายอาการปวดก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากฟันผุ น่าจะมาจากเหงือกหรือรากฟัน มีฟันผุก็จริง แต่เล็กจี๊ดดดดดเดียะ เธอต้องฟังตอนคุณหมอบอก ‘จี๊ดดดดดเดียะ’ เธอถึงจะจินตนาการได้ว่ามันเล็กขนาดไหน ฉันว่ามันน่าจะเท่ากับ ‘จู้มด’ จริงๆ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่า ‘จู้มด’ คืออะไร แต่สหายที่ฉันรู้จักท่านหนึ่งนำมาใช้ในความหมายว่า เล็กมั่กๆๆๆ (น่าจะเล็กกว่า ‘ขี้ประติ๋ว’ สักพันเท่า) ฉันก็เลยคิดว่ามันคงเล็กมากจริงๆ ถ้าเธอยังสงสัยว่าจู้มดมันจะเล็กขนาดไหน ก็ขอให้มันอยู่แค่ในความสงสัย ไม่ต้องไปจับมดถ่างขาหาจู้มันดูหรอกนะ

คุณหมอแนะนำให้กลับมาสังเกตอาการปวดอีกสักระยะ ถ้ายังไม่หายคงต้องกรอรากฟัน ฉันว่าถ้ากรอก็คงต้องกรอหมดทุกซี่ เพราะตอนนี้ชักจะเริ่มปวดทั้งปากเลยแฮะ

รักษาฟันหายแล้วก็มาดูกันซิว่าโรคอะไรจะเข้ามาเยี่ยมฉันอีก ถ้าเป็นอะไรจะเขียนจดหมายมาเล่าให้เธอฟังอีกนะ หวังว่าเธอคงไม่เบื่ออ่านจดหมายของฉันซะก่อนล่ะ

วันนี้วันที่ 29 ธันวาคม 2552 แล้ว อีกสามวันดาวสีน้ำเงินจะเริ่มโคจรรอบใหม่ ผู้คนบนดาวดวงนี้เตรียมต้อนรับสิ่งดีๆ ที่จะเข้ามาเยือนชีวิตในรอบโคจรหน้า มันเป็นช่วงเวลาของความคึกคักและตื่นเต้นที่จะได้เริ่มนับหนึ่งใหม่กันอีกครั้ง สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ดูดีไปหมด เหมือนดินสอแท่งใหม่ ยางลบก้อนใหม่ สมุดเล่มใหม่ เสื้อผ้าชุดใหม่

เป็นความอิ่มเอมและเบิกบานทุกครั้งที่ได้ใช้อะไรใหม่ๆ

รูปธรรมสัมผัสจับต้องได้ง่ายดาย แต่นามธรรมนี่สิต้องใช้จินตนาการสัมผัส ไม่มีมาตรวัดว่าความพอดีอยู่ตรงไหน บางครั้งจินตนาการที่ใช้จึงอ่อนไปบ้าง บรรเจิดเพริศพรรณรายไปบ้าง ก็แล้วแต่ตัวบุคคล

ฉันไม่รู้จะหวังให้ชีวิตปี 2553 เป็นยังไง และไม่รู้จะจินตนาการให้เพริศแพร้วยังไงดี ในเมื่อดาวสีน้ำเงินโคจรรอบใหม่ในเส้นทางเดิม

ก็ได้แต่หวังให้วิถีของดวงดาวนำความร่มเย็นมาสู่ผู้อาศัย


สวัสดีรอบโคจรใหม่ของดวงดาว
หญิงสาวบนดาวสีน้ำเงิน
ส่งท้ายปี 2552

เปิดสมุดบันทึกเล่มเก่าที่เคยใช้มาหลายปีดีดัก ใช้ไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยถึงหน้าสุดท้ายสักที ราวมันเป็นสมุดบันทึกมหัศจรรย์ที่ใช้งานได้ยาวนานชั่วกัลปาวสาน ทว่าแท้จริงเป็นเพียงผลจากนิสัยขาดความต่อเนื่องอันเป็นสันดอนประจำตนของผู้เป็นเจ้าของ ที่เปิดใช้งานมันแค่เดือนละหนสองหน

เปิดสมุดบันทึกครั้งนี้ต้องตกใจกว่าครั้งไหนๆ ทั้งที่เคยตั้งใจนับครั้งไม่ถ้วนว่าจะเขียนอะไรต่อมิอะไรลงไปทุกวัน ผ่านไปหน่อยก็ว่าจะเขียนทุกอาทิตย์ ทำไปทำมาเอาแค่ว่าให้ได้เดือนละหนก็ยังดี แต่วันสุดท้ายที่ปรากฏบนหน้ากระดาษคือวันที่ 3 ธันวาฯ ปีที่แล้ว หนึ่งปีกับอีก 9 วันที่ฉันไม่ได้เสวนาปราศรัยใดๆ กับมันเลย ถ้าเป็นแฟนกันมันคงตัดหางเขี่ยฉันทิ้งไปจากชีวิตอย่างไม่มีวันให้อภัย โชคดีที่มันต่างสถานะออกไป เป็นเพื่อนสนิทรู้ใจ ถึงจะทิ้งขว้างให้มันต้องเปล่าเปลี่ยวเอกาอาดูรแค่ไหน แค่กลับมาสบตากันอีกครั้ง ก็รู้ได้ทันทีว่า ระหว่างเรายังเหมือนเดิม

เวลายาวนานของหนึ่งปี คล้ายหนึ่งนาทีเพิ่งผ่านพ้น

รอบหนึ่งปีที่ผ่านมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตฉันบ้าง?

...หลายอย่าง...

ถ้าให้บรรยายก็คงไม่หวาดไม่ไหว แม้จะให้ไล่คิดดูก็เหมือนสมองจะชะงักค้างชั่วคราว ด้วยทั้งภาพและเสียงไหลรี่ราวท่อประปาแตก อัดแน่นจนหน่วยประมวลผลทำงานไม่ทัน

แต่พอลองนั่งค่อยๆ นึก ลำดับเหตุการณ์ดูเรื่อยๆ เรื่องราวมากมายก็จริงแต่กลับไม่มีอะไรหวือหวา ถ้าเป็นบทเพลงก็คงเทียบได้กับทำนองสบายๆ ไม่กระแทกกระทั้นจนหัวสั่นหัวคลอน และไม่เอื่อยเอื้อนรันทดจนต้องครวญเพลงถามฟ้าว่า...ทำไมถึงทำกับฉันได้...?

โชคดีที่ชีวิตเลือกเดินทางสายกลางด้วยตัวมันเอง

ชีวิตเลือกสรรให้หลายอย่าง กับอีกหลายอย่างที่ความต้องการของตนเองเลือกสรร ทำให้บางครั้งคลับคล้ายว่าฉันมั่นคงในความรู้สึกสำหรับบางสิ่ง แต่อีกบางครั้งก็คล้ายตัวเองกำลังลอยเท้งเต้งอยู่กลางสูญญากาศของจักรวาล ไม่มีพื้นผิว ไม่มีขอบเขต มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าอันหาที่สุดมิได้

สงบ มั่นคง กับ เปลี่ยวร้าง เดียวดาย

สองความรู้สึกสลับหมุนเวียนกันเข้ามาทักทายเรือนใจ จนสงสัยว่าสิ่งไหนกันแน่คือความจริง สิ่งไหนเป็นเพียงมายาภาพที่จินตนาการรังสรรค์?

แต่ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ยังย่ำไปบนหนทางที่ความต้องการเป็นผู้เลือก แม้จะสับสน มึนงง และไม่แน่นอนในทุกสิ่ง แต่จะหวั่นไปไยเมื่อชีวิตไม่เคยมีอะไรแน่นอน และแม้จะไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะที่ผ่านมาฉันก็ไม่เคยมั่นใจในอะไรสักอย่าง ถึงกระนั้นฉันก็ยังย่ำเดินมาจนถึงวันนี้

จะหนักหนาอะไรนักหนา หากรู้สึกว่าชีวิตมันช่างแย่สิ้นดี ก็แค่หลับตา บอกตัวเองเบาๆ ว่า "ช่างมัน" ก็เท่านั้น...


12 ธันวาฯ 2552
อพาร์ตเม้นต์ ดินแดง

สหายที่รักยิ่ง

ฤดูหนาวมาเยือนดาวสีน้ำเงินอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่ใช่แค่ผ่านมาชิมลางเหมือนอย่างคราวก่อน อากาศหนาวทำให้โรคขี้เกียจกำเริบ แถมโรคกลัวน้ำยังสำแดงอาการแทรกซ้อนเข้าอีก ฉันต้องกลั้นใจวิ่งผ่านฝักบัววันละหน เสร็จแล้วก็มานั่งคางสั่นฮักๆ กอดผ้าห่มอยู่บนเตียง หลังๆ มานี้ ก่อนออกไปทำงานเพื่อนร่วมห้องจึงมักหันมาสั่ง “อย่าลืมอาบน้ำล่ะ” แต่ทีตัวเองแปรงฟันอย่างเดียวตะลอนไปได้ถึงไหนต่อไหน ไม่เห็นว่าอะไรสักคำ

เพื่อนต่างดาวจ๋า ถึงฉันไม่ค่อยอาบน้ำเธอก็อย่าหาว่าฉันซกมกนะ ฉันเพียงคิดว่า ฤดูหนาวบางทีเราอาจช่วยดวงดาวของเราประหยัดน้ำประปาได้มากขึ้น

สามสี่วันก่อน สหายคนหนึ่งโทรมาชวนไปออกกำลังกายแต่เช้า ด้วยเหตุผล ‘ฟิตร่างกายสู้ลมหนาว’ ฉันว่าก็เข้าท่าดี จึงรีบแจ้นไปตั้งแต่ไก่โห่ (อ้อ...เธอคงไม่รู้ว่าเมื่อก่อนไก่บ้านฉันมันชอบโห่ตอนสาย แต่เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนนิสัยมาโห่เร็วขึ้นหน่อยนึงแล้วล่ะ) นึกดูเล่นๆ ก็ไม่อาจจำได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้ออกไปจ็อกกิ้งตอนเช้าแบบนี้ แค่ได้เดินดูอะไรไปเรื่อยๆ กลับพบว่าร่างกายสดชื่นขึ้นมากมาย

ถึงเวลาวิ่งเข้าจริงๆ ฉันวิ่งไปตามทางวิ่งได้รอบเดียวก็ต้องหยุดนั่งหอบหายใจแฮ่กๆ หมดแรงลิ้นห้อย คนชวนยังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งปร๋อรอบแล้วรอบเล่า สักพักถึงได้ตามมาสมทบที่ลานออกกำลังกายกลางแจ้ง มีทั้งเด็ก วัยรุ่น หนุ่มสาว และผู้สูงวัยชุลมุนกันอยู่มุมนี้ไม่ต่ำกว่า 20 คน

เราสลับกันเล่นเครื่องเล่นจนฉันเหนื่อยหอบ เหงื่อหยดติ๋งๆ อีกรอบ คุณป้าท่านหนึ่ง ผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ตอนเราไปถึงท่านก็วิ่งอยู่แล้ว ถึงตอนฉันพักเหนื่อยรอบสองท่านก็ยังวิ่งไม่หยุด เจ้าเพื่อนตัวดีมาสะกิดให้ดู แม้ปากมันจะพูดชื่นชมท่านยังไง แต่ฉันรู้ว่าลูกตามันกำลังถากถางฉันอยู่

‘ไงล่ะ เป็นสาวเป็นแส้ สู้คนแก่ก็ไม่ได้’

นั่นคือความคิดที่มันบอกฉันทางสายตา อย่างฉันหรือจะยอม ยิ่งคุณป้าเลิกวิ่ง เดินผ่านหน้าฉันไปในระยะไม่ถึงสองเมตร ผิวหน้างี้ตึงเปรี๊ยะ เช้งกว่าหน้าฉันอีก พลันคิดว่านั่นคือข้อดีของการออกกำลังกาย

ลูกฮึดที่โดนถากถางทางสายตา ผสานนิสัยรักสวยรักงามซึ่งมีอยู่เต็มพิกัดในตัว ไฟปรารถนาที่จะมีหน้าเด้งหุ่นเช้งกระเด๊ะเป็นสาวหมื่นปีอย่างคุณป้าท่านลุกฮือ หายเหนื่อยฉันจึงโชว์ออฟ กระหน่ำเล่นเครื่องเล่นทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างละร้อยครั้ง ตบท้ายด้วยซิตอัพแถมอีก 50 ที

ผลเป็นยังไงล่ะ?!

เช้าวันถัดมาร้าวไปทั้งตัว ได้แต่นอนแข็งอยู่บนเตียง ขยับตัวแต่ละทีน้ำตาแทบร่วง นอนดูรายการตลกจะขำก็ไม่ออก หัวเราะก็ไม่ได้ ทรมาทรกรรม

นั่นคือผลของการไม่รู้จักประมาณตน เจอเอาคราวนี้ฉันบรรลุสัจธรรมเลยล่ะ

ต้องนอนพักร่างกายอยู่สองวัน อาการร้าว ขัดยอกถึงได้ทุเลา แต่เช้าวันที่สามฉันก็ต้องปฏิเสธไม่ไปออกกำลังกายอีกครั้ง เมื่อฤดูผู้หญิงดันผ่ามากลางฤดูหนาวจะให้ทำไงได้ งานมันเข้าซะแล้ว หาหนังสือมานั่งอานเล่นแก้เซ็งตรงระเบียง จึงเพิ่งสังเกตว่าเสาอากาศรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่อยู่ตรงข้ามระเบียง มีนกมาเกาะส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันนับสิบตัว แทนที่จะได้อ่านหนังสือเช้าวันนั้นฉันเลยนั่งฟังเสียงนกจนเพลิน

ไม่รู้ป่านนี้ดาวของเธอกำลังอยู่ในฤดูไหน แต่ไม่ว่าจะยังไงก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยระวังจะไม่สบาย


ห่วงใยเสมอ
มิตรของเธอ
ดาวสีน้ำเงิน ฤดูหนาว 2552



ยอดปิยมิตร

อาทิตย์ที่ผ่านมาฉันป่วย ปวดท้องตั้งหลายวัน หวั่นอยู่ว่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ไม่อยากขึ้นเขียงไปนอนเปิดพุงให้หมอเชือดเลย แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะมันเป็นแค่อาการของโรคกระเพาะกำเริบ เล่นเอานอนไม่หลับไปตั้งสองคืนแน่ะ

ชีวิตนกน้อยในป่าคอนกรีตกว้างใหญ่ไพศาล ยามเจ็บป่วยยากจะหันหน้าหาคนพึ่งพิง โชคดีที่ฉันมีพี่สาวอยู่ใกล้ กับเพื่อนจริงใจอีกคนสองคน พอให้อุ่นใจได้ว่าไม่เดียวดาย

เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อไม่สบายใจก็อยากให้ใครสักคนมาอยู่ใกล้ๆ ใครคนนั้นที่เราจะวางใจและเชื่อมั่นเขาได้เสมอ เที่ยงคืนฉันหอบเสื้อผ้าไปนอนกับพี่สาว บอกเล่าความกังวล แค่รุ่งเช้าข่าวสารของฉันก็แพร่สะพัดไปถึงพี่น้องทุกคน ฉันนับถือการทำหน้าที่เป็นหอกระจายข่าวของเธอที่สุด เธอปฏิบัติหน้าที่ได้เฉียบขาดมาก ความเป็นห่วงเป็นใยหลั่งไหลมาสู่ฉันตลอดช่วงเช้าวันนั้น เริ่มจากแม่ ตามด้วยพี่ชายคนอื่นๆ กำลังใจดีความเจ็บป่วยก็ดูเหมือนจะทุเลาเบาบาง

เมื่อไปหาหมอและรู้ถึงสาเหตุของอาการปวด ก็เป็นพี่สาวอีกนั่นแหละที่รับข่าวจากฉันไปกระจายต่อ จากคำปลอบประโลมท่วมท้นเมื่อคราแรก เปลี่ยนเป็นตำหนิติเตียน ก็เรื่องละเลยสุขภาพของตัวเองเสมอมาอีกแหละ นอกจากติ นอกจากเตียนแล้ว ยังบังคับให้ปรับปรุงวัตรปฏิบัติในแต่ละวันใหม่เสียทั้งหมด เริ่มต้นด้วยการเข้านอนตั้งแต่สองทุ่ม ให้ตายเถอะสหายรัก ฉันไม่ได้อยู่ในป่าในเขาอย่างพวกเขานี่ จะได้มุดมุ้งเสียตั้งแต่เวลานั้น

สองทุ่ม ราตรีเพิ่งตื่นจากหลับใหล และผีเสื้อผู้หลงแสงสีอย่างฉันเพิ่งเริ่มสยายปีก แหม... ผีเสื้อผู้หลงแสงสี...ผีเสื้อราตรี... ว่าไปแล้วก็ฟังดูยวนใจไงไม่รู้สิ ขนลุกเกรียว ดูไม่เหมาะกับฉันเลย ขอเป็นค้างคาวดีกว่า

แน่ล่ะ สองทุ่ม ค้างคาวราตรีเพิ่งกางปีกบิน แล้วนี่อะไร? กางปุ๊บจะให้หุบปั๊บเลยเรอะ? ใครจะไปยอม พอพูดเข้าหน่อยก็หาว่าเถียง พอเถียงมากๆ ก็ขึ้นธรรมาสน์เทศนากันอีก เอากันเข้าไป ว่ากันเข้าไป บ่นกันเข้าไป เจอกันเมื่อไหร่จะกระโดดถีบรายตัวเลย ฮึ!

แฮ่... ฉันก็บ่นไปงั้นแหละ เอาเข้าจริง ก็ไม่กล้ากระโดดถีบใครหรอก กลัวเจอเตะก้านคอสวนกลับ ฉันก็นอนคอพับไปเท่านั้น

รอดมาจากมีด แต่กลับมาถูกหามลงโลง ไม่คุ้มกัน

ว่าแล้วฉันก็เริ่มปรับปรุงตัวเองใหม่อีกรอบแล้วล่ะ นอนตื่นทันพระอาทิตย์มาเกือบสัปดาห์แล้ว ข้าวปลาก็กินครบสามมื้อ ก็แน่ละสิ จะไม่ให้ครบได้ยังไง เลยเวลาอาหารมาหน่อยนึงเสียงโทรศัพท์ก็ดังขั้นและ “กินข้าวยัง?” ลองตอบกลับไปว่ายังไม่ได้กินสิ ขี้หูได้ร่วงกราว

แต่ทั้งหมดนั้นก็ใช่ว่าฉันจะปรับปรุงตัวเพราะกลัวขี้หูร่วงหรอกนะ ฉันทำเพื่อตัวฉันเอง และเหนือกว่านั้น ฉันทำเพื่อคนที่ฉันรัก ยังมีคนอีกหลายคนรักฉันโดยไม่มีเงื่อนไข และรักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่ฉันรักตัวเอง แล้วฉันจะทำให้เขาเหล่านั้นไม่สบายใจได้อย่างไร?

เธอก็เช่นกัน มิตรคนดี ฉันรักเธอ ฉันจึงต้องดูแลตัวเอง เพื่อว่าจะได้เขียนจดหมายมาคุยกับเธอได้นานๆ

เธอก็อย่าลืมดูแลตัวเองล่ะ


มิตรน้อยๆ ของเธอ
ต้นหนาว ๒๕๕๒



สวัสดีสหายรัก

ฉันนั่งมองท้องฟ้า และกำลังสงสัยว่าเธออยู่มุมไหนของจักรวาลกว้างใหญ่นี้กัน เบื้องหน้าที่สายตาฉันทอดมองไป? มุมซ้าย? มุมขวา? หรือมุมที่ฉันอาจไม่เคยเหลือบแลเลย?

จะว่าไป มุมไหนก็คงไม่ต่างกัน เพราะฉันไม่เห็นอะไรมากไปกว่าท้องฟ้าสีคราม กับปุยเมฆขาวนวลตา คล้ายก้อนนุ่นขยุกขยุยที่ฉันเคยนั่งอัดใส่หมอนเมื่อตอนเล็กๆ ถ้าก้อนเมฆเป็นสำลีจะนุ่มสักแค่ไหนหนอ? เอามาทำหมอนคงนอนฝันดีจนไม่อยากตื่น

เธอเคยนั่งมองก้อนเมฆบ้างหรือเปล่า? ...คงต้องเคยบ้างล่ะ ถ้าเธอยังดื้อดึงบอกว่า ‘ไม่เคย’ ฉันก็คงต้องบอกให้เธอรู้ตัวแล้วล่ะ ว่าเธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดที่สุดในจักรวาล

รู้อะไรมั้ย? ครั้งหนึ่งฉันเคยนึกฝันอยากเป็นนกน้อยทะยานไปให้สุดขอบฟ้าไกล แต่ครั้งเดียวกันนั้นที่ฉันหวาดกลัวก้อนเมฆรูปร่างประหลาดตา ฉันเกลียดเมฆรูปตัวหนอน รูปพญามังกร รูปงูยักษ์ และทุกก้อนที่ฉันวาดภาพไปว่ามันต้องเป็นสัตว์ประหลาดไม่ชนิดใดก็ชนิดหนึ่ง สุดท้ายฉันจำต้องพับฝันนั้นทิ้งไป เพราะขยาดที่จะไปต่อกรกับกองทัพสัตว์นอกโลกเหล่านั้น

ถ้าเพียงตอนนั้นฉันเปลี่ยนความคิดจาก ‘ต่อกร’ เป็น ‘ผูกมิตร’ ป่านนี้ฉันคงมีเพื่อนเป็นอนาคอนด้า กับพญามังกรพ่นไฟไปแล้ว เนอะ

เธอเชื่อมั้ย? ฉันเคยกระโจนขึ้นจากน้ำที่ดำผุดดำว่ายอยู่ทันทีเมื่อคิดว่า พญางูยักษ์บนท้องฟ้ากำลังนอนกบดานอยู่ก้นบ่อ ตั้งแต่นั้นมาฉันไม่กล้าลงเล่นน้ำคนเดียวอีก ไม่กล้าแม้จะจุ่มมือลงในตุ่มที่มีขุ่นตะกอนดำมืดจนมองไม่เห็นผิวพื้นด้านล่าง ฉันคิดว่าต้องมีตัวอะไรสักตัวนอนนิ่งอยู่ในนั้นแน่ ถ้าฉันทะเล่อทะล่าแหย่มือลงไปอาจโดนมันงับจนขาด

แม้บางครั้งจินตนาการจะทำให้ฉันหวาดกลัว แต่ฉันก็ยังรักมันสุดใจ ฉันไม่เคยขัดขวาง ถ้ามันจะโบยบินไปสุดหล้าฟ้าเขียวจนห่อเหี่ยวเหนื่อยล้ากลับมา และฉันไม่เคยนึกเบื่อที่ต้องคอยประคบประหงมก่อนปล่อยให้มันโผบินครั้งแล้วครั้งเล่า

สหายรัก เธอเคยจินตนาการถึงฉันบ้างไหม?

สำหรับฉัน ขอยอมรับด้วยความจริงใจ ไม่เฉไฉบิดเบือน ทุกครั้งที่ฉันระลึกถึงเธอ ทุกตัวอักษรที่เขียน นั่นคือทุกวินาทีที่จินตนาการฉันทำหน้าที่ แน่นอน ทุกภาพล้วนงดงามกระจ่างแจ่ม แต่ฉันไม่เคยยึดติดกับมันเลยแม้สักน้อยนิด

หากวันใดวันหนึ่งในอนาคตเบื้องหน้า วิถีโคจรของดวงดาวเกิดแรงเหวี่ยงขนานใหญ่ ทำให้ทางเดินสองสายบนดาวสองดวงมาบรรจบกัน ณ ระนาบเดียว ฉันจะไม่ถามว่าเธอรู้สึกยังไง แต่ฉันคงดีใจมหาศาล พร้อมกับที่ต้องเสียใจเกินบรรยาย เพราะจินตนาการของฉันถูกทำลายลง ณ วินาทีนั้น

เธอคงน้อยใจว่าฉันไม่อยากพบเธอ เปล่าเลยสหายรัก บางจังหวะ การพบเจอก็หาได้มีประโยชน์อันใดมากไปกว่า ทำหน้าที่เป็นบทเริ่มต้นของการอำลา

บางครั้งการปล่อยให้บางสิ่งงดงามอยู่ในจินตนาการก็เป็นเรื่องเหมาะสมสุดแล้ว ยังไง...เราก็พบกันเสมอในความคิดถึง


แน่ะ! ดูสิ... เริ่มต้นบนท้องฟ้า แต่ฉันกลับพาเธอเลี้ยวออกทะเลเสียนี่ นี่ถ้าฉันยังเขียนยาวกว่านี้ เราคงได้ไปลอยคอเท้งเต้งกันกลางมหาสมุทรแหงแซะ!


คิดถึงเธอนะ
เพื่อนเธอบนดาวสีหม่น
ปฐมพฤศจิกาฯ ๒๕๕๒



ป.ล. ลมหนาวมาเยือนดาวของฉันแล้วล่ะ แต่มันมาแค่วันเดียว ตอนนี้สะบัดตูดหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ถ้ามันผ่านไปทางดาวของเธอ รบกวนบอกมันหน่อยซี ว่าคนบนดาวดวงนี้ยังไม่หายคิดถึงเลย




‘น็อนจัง’ เดินทางเฉียดพันกิโลเมตรจากทะเลสาบสงขลามาถึงห้องพัก 510 ดินแดง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2552 เวลา 22.45 น. ด้วยเมตตาจิตจากกัลยาณมิตรนาม ‘ธุลีดิน’

วินาทีแรกทีสบตากับ ‘น็อนจัง’ คงมิอาจกล่าวความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษรได้ทั้งหมด นอกจากจะบอกว่าทุกความรู้สึกแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกระจ่าง

ฉันใช้เวลาทำความรู้จักกับ ‘เด็กหญิงน็อนจัง’ และ ‘ค็อง’ ลูกสุนัขจิ้งจอกเพื่อนใหม่ของเธอไม่นาน มิตรภาพงดงามทำให้ฉันซึมซับโลกบริสุทธิ์อีกใบ แท้จริงมันเป็นโลกที่ฉันเคยมีเมื่อในอดีต แต่ฉันทอดทิ้งมันมาจนไม่อาจย้อนเวลากลับไปนับได้ว่านานแค่ไหนกัน ที่ฉันหลงลืม และปล่อยให้สิ่งดีๆ เหล่านั้นหลุดลอยไปจากชีวิต

ทุ่งหญ้าเขียวไสวกับทุ่งนาเหลืองอร่าม คงให้ความรู้สึกไม่ต่างกันนักกับผู้เฝ้าสัมผัสกลิ่นอาย สิ่งที่ธรรมชาติเอื้อเฟื้อผู้อิงแอบคือ สุข สงบ และปลอดโปร่ง ความไร้เดียงสาแห่งวัยเยาว์คล้ายภาพงดงามของหมู่ผีเสื้อในทุ่งดอกไม้ สดใส และเริงร่า ไม่ว่ามองจากมุมไหนล้วนทำให้หัวใจอ่อนละมุน แม้คนที่หัวใจแข็งกระด้างดุจหินผา เชื่อแน่ว่ายังมีบางซอกมุมให้ความละมุนนั้นคลี่คลุมใจ ถึงเจ้าตัวจะปฏิเสธ แต่ใครเลยจะรู้ บางครั้งมนุษย์ก็หาได้พูดในสิ่งที่ตรงกับใจ

มิตรภาพงดงามทุกที่ที่มันผลิบานและดำรงอยู่ เพราะมันเกิดมาจากมือที่พร้อมสำหรับการให้ และได้รับการเอาใจใส่จากดวงใจบริสุทธิ์

‘น็อนจัง’ บอกให้ฉันรู้ว่า ‘มิตรภาพเกิดขึ้นง่ายดาย’ แค่รู้จักคำว่า ‘ให้’ เหมือนความจริงใจที่เธอให้ ‘ค็อง’ เหมือนความไว้เนื้อเชื่อใจที่ ‘ค็อง’ ให้เธอ และเหมือน...หนังสือดีๆ ที่ ‘กัลยามิตร’ ให้ฉัน รวมทั้งเหมือนหนังสือดีๆ เล่มเดียวกันนี้ที่ฉันจะให้มันเดินทางต่อไปเพื่อบอกเล่าเรื่องราวงดงามผ่านตัวอักษรให้คนอีกมากมายได้รับรู้

‘น็อนจัง’ เดินทางจากห้องพัก 510 เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2552 สู่แฟลตเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของเด็กสาวร่าเริงผู้รักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุขกับการได้ทำความรู้จักกับ ‘น็อนจัง’ และ ‘ค็อง’ ลูกสุนัขจิ้งจอกตัวน้อย


สายลม
ห้องเช่า 510 ดินแดง


@ หนังสือเดินทาง : น็อนจัง









สวัสดีสหายรักต่างดาว

ไม่ได้เขียนจดหมายมาคุยกันนานเลย เธอคอยบ้างหรือเปล่า? ฉันก็อย่างงี้แหละ นิสัยเสียประจำตัวที่ต้องปรับปรุงโดยด่วนคือเรื่องวินัย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยทำสำเร็จ เถอะ สักวันฉันคงทำได้

อีกไม่นานบนดาวของฉันก็จะเข้าหน้าหนาวแล้ว ตั้งตารอคอยลมหนาวด้วยใจจดจ่อ ตอนนี้อาศัยพัดลมแทนลมหนาวอยู่ทุกวัน บางครั้งอากาศมัวซัวเหมือนว่าจะหนาว แต่ก็แค่ ‘เหมือนจะ’ ไม่รู้เมื่อไหร่ลมหนาวจะมาเยือนจริงๆ ถึงฉันจะชอบฤดูฝนเป็นชีวิตจิตใจ แต่ฤดูหนาวฉันก็มิได้รังเกียจเดียดฉันท์ กลับนึกชอบมันเหมือนกัน เพราะมันทำให้รู้สึกว่าดาวโลกที่ฉันอยู่หมุนช้าลง ทุกอย่างรอบตัวสงบซบเซา พักผ่อนจากความเหนื่อยล้ามาเนิ่นนาน และมันทำให้เราเดินทอดน่องชมสรรพสิ่งได้อิสระเสรี

ระเบียงห้องของฉันมีไม้แขวนมาใหม่สองต้น อยู่ได้ไม่นานใบมันก็เริ่มโรย หวั่นเหลือเกินว่ามันจะมีชีวิตอยู่ไม่พ้นฤดูหนาวนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันคงต้องบอกใครๆ ว่า ‘มันหนาวตาย’ เธอว่าเข้าท่ามั้ย?

แปลกประหลาดจังเลย ต้นไม้ที่มาอยู่ริมระเบียง ถ้ามันมีชีวิตอยู่รอดพ้นสามเดือนแรกมาได้ มันก็ไม่แคล้วต้องกลายเป็นต้นไม้พิกลพิการไม่สมประกอบ แต่กลับมีสองต้นที่นอกจากจะมีชีวิตอยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ซึ่งก็ปาเข้าไปค่อนปีแล้ว ยังอ้วนท้วนเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำ เจริญผิดหูผิดตาเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ มันคงเป็นประเภท ‘ผ่าเหล่า’ นะ เธอว่ามั้ย?

เจ้าสองต้นนี้มีชื่อว่าต้นอะไรบ้างฉันก็จำไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่าจำชื่อมันไม่ได้ แต่จำไม่ได้ว่าคนให้มาเขาบอกชื่อมาด้วยหรือเปล่า นั่งนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก รู้แต่ว่ามันเป็นต้นไม้ ‘ให้หวย’ ที่แม่ขอมาจากคนรู้จักตอนขึ้นมาเยี่ยมฉันครั้งก่อนโน้น แต่ดันเอากลับไปด้วยไม่ได้ เพราะสัมภาระของพระคุณท่านก็มากมายมหาศาลอยู่แล้ว อันนี้ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าจะขนอะไรกลับไปนักหนา ฉันเลยต้องรับผิดชอบดูแลต้นไม้ให้ วิธีการปลูกก็ผิดหลัก หลักอะไรดีล่ะ น่าจะบอกว่าหลัก ‘ไสยศาสตร์’ นั่นแหละดูจะเหมาะสุด

เอาแค่ง่ายๆ กฎข้อแรก สถานที่ที่จะปลูกต้องไม่มีเสื้อผ้าแขวนไว้ด้านบน แต่ด้วยพื้นที่จำกัด ฉันเอาไปปลูกไว้ใต้ราวผ้าซะเลย มันกลับไม่ยักเป็นอะไร อีกข้อ สำคัญมาก ยามเข้าช่วงฤดูผู้หญิงๆ(รู้มั้ยฤดูผู้หญิงคือฤดูอะไร? ฉันว่าเธอน่าจะรู้) นั่นแหละ เข้าฤดูผู้หญิงเมื่อไหร่ห้ามโดนต้นมันเด็ดขาด! ย้ำว่า ‘เด็ดขาด’ ด้วยนะ แต่ฉันไปนั่งลูบๆ คลำๆ มันออกบ่อย ก็เห็นมันเจริญได้เจริญดี ไม่รู้เขาไปเอามาจากตำราไหนกัน

ตอนนี้ต้นหนึ่งสูงเกือบขอบหน้าต่างแล้ว อีกต้นแตกหน่อมาใหม่ แข่งกันออกใบจนแยกไม่ออกว่าต้นไหนแม่ต้นไหนลูก มันออกดอกสีขาวมาอวดโฉมด้วยสองดอก ฉันโทรไปบอกแม่ แม่บอกลองนั่งหาดู เผื่อมันจะให้ ‘เลขเด็ด’ เอากับเขาสิ

เธอรู้จักหวยหรือเปล่า? ฉันก็อธิบายไม่ถูกหรอกว่ามันเป็นยังไง รู้แต่มันมีเลข 0 ถึง 9 วนไปเวียนมาอยู่สิบตัวนี่แหละ เธอก็อย่าไปใส่ใจมันเลยนะ รู้ไว้เพียงมันสามารถทำให้คนรวยได้ในพริบตา แต่เท่าที่ดู เก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซนต์มันทำให้จนผ่อนส่งทั้งนั้น เธอคงคิดล่ะสิว่าจนผ่อนส่งไม่เห็นจะรุนแรงอะไรเลย เอาเถิด เจอเข้ากับตัวแล้วจะรู้ ว่าไอ้ความงมงายน่ะมันร้ายกาจขนาดไหน

ฉันจบจดหมายแค่นี้ล่ะ แล้วจะเขียนมาคุยด้วยใหม่ หวังว่าเธอคงสุขสบายดี


ด้วยความระลึกถึง
เพื่อนเธอบนดาวสีน้ำเงิน
เริ่มพฤศจิกาฯ 2552


๏ แว่วคำจำนรรจ์มาจากสาส์น
ให้ไหวหวานซ่านซึ้งรำพึงหา
ถ้อยกระซิบสายลมที่พรมพา
รู้ไหมว่าอกอรอาวรณ์อาลัย

ยามยากไร้คู่เรียงมาเคียงชิด
ล้านความคิดถ้วนสดับยังขับไข
เพียงแค่พรากจากกันมิทันไร
ทั้งดวงใจร้าวรานสะท้านทรวง

นั่งชมดาวพราวพริบระยิบผ่อง
งามละอองทั้งแดนดินถึงถิ่นสรวง
แต่ดาวดื่นหมื่นดาวพราวแสงยวง
รึจะอาจบั่นบ่วงห่วงอาวรณ์

ณ ราตรีหยาดน้ำค้างพร่างเรียวหญ้า
ดั่งน้ำตาอกน้องนองสะท้อน
สะท้านใจไหวหวั่นจนสั่นคลอน
มิอาจนอนข่มตาสักราตรี

ด้วยดวงใจทั้งดวงยังห่วงหา
ดื่นดาราเด่นประจักษ์เป็นสักขี
สานถ้อยความอุ่นไอในไมตรี
ตอบคนดีเว้าวอนตามกลอนคำ

มั่นหมายรักปักจิตไม่คิดหน่าย
ถึงนิราศห่างหายหลายคืนค่ำ
ย้ำสลักรักน้องดั่งจองจำ
แม้นชอกช้ำก็มั่นภักดิ์สลักรึง

เคยร้อยสร้อยเก็จวลีมาพลีมอบ
ถ้อยความกอปรถ้วนจิตแห่งคิดถึง
หวานอักษรพจนายังตราตรึง
ทุกเสี้ยวซึ้งส่วนความหวามอุ่นไอ

นาฏะอักษรานี้แด่พี่ท่าน
จะวันวารวันนี้หรือวันไหน
จะร้อยสร้อยเก็จวลีมาลีใจ
เป็นมาลัยคล้องขวัญนิรันดร...

@ เรไรร่อนร้อง : หวังจะมีสักวันเธอหันมา


๏ อ้อมกอดดาวดื่นของคืนหนาว
กับอกผ่าวรติรสเกินปลดเปลี่ยน
ความลึกล้ำซ่านซาบวาบไหวเวียน
จนจารเจียรอุ่นเอื้อสู่เนื้อใจ

งามละไมในรักเฝ้าถักร้อย
ทุกเสี้ยวรอยงดงามความหวามไหว
กำซาบซึ้งเสี้ยวส่วนล้วนความนัย
ละมุนใยโยงร้อยเป็นถ้อยคำ

ส่งเป็นสารแนบรักสู่ตักอุ่น
ที่เคยคุ้นชิดชื่นทุกคืนค่ำ
ลำนำพจน์ร่ายบทเพลงบรรเลงล้ำ
กล่อมคืนค่ำหอมหวานด้วยม่านมนต์

ให้เพลงดาวพราวแสงพริบแต่งสรวง
ได้โชติช่วงพราวพร่างสว่างสถล
กระจ่างเนตรเจตจินต์ถวิลยล
นภดลเลื่อมพรายลายราตรี

เย็นลำลมโบกโบยมาโชยชื่น
ระรินรื่นหอมเฟื้อยระเรื่อยรี่
แมกไม้ป่าผกาไพรในพงพี
ร่ายไมตรีหอมฟุ้งมาปรุงโปรย

กับดึกดื่นคืนค่อนไม่นอนแนบ
นั่งอิงแอบอุ่นดาวอกผ่าวโผย
กระซิบแผ่วแว่วกระแสอยู่แดโดย
ชื่นลมโชยชายเผดียงมาเพียงพิณ

งามรัตติพิศุทธิ์ สุรโลก
มวลสุโนกว่ายจันทร์บรรสานศิลป์
การเวกกล่อมกาลวิมานดิน
ท่ามอวลกลิ่นกุสุมาลย์ พิมานแมน

หอมกลิ่นกรุ่นอุ่นอาบกำซาบรัก
หอมยิ่งนักกว่าลดาพนาแสน
อุ่นอ้อมใดไหนเปรียบมาเทียบแทน
ไม่เหมือนแม้นอ้อมรักจักตราตรึง

เป็นลำนำขับขาน ณ กาลดึก
ประกายพรึกเจิดวิจิตรยามคิดถึง
ร้อยอักษรกลอนคำในรำพึง
ว่าสุดซึ้งคะนึงห่วงสุดดวงใจ

จะแดนดินถิ่นสรวงสุดห้วงภพ
จารบรรจบไมตรีที่มีให้
ใต้นภาฟ้ากว้างใช่ห่างไกล
หากสองใจยลดารา...ฟ้าเดียวกันฯ


๏ สวยปีกสีผีเสื้อระเรื่อฟ้า
กลางเวหาเหินหาวดูพราวเกลื่อน
งามระยับจับตาให้พร่าเลือน
ภาสวรยอนเยื้อนคอยเคลื่อนครา

สายแดดทอดผ่านเป็นม่านแสง
ริ้วจำแลงทอดย่านลงลานหญ้า
ระยิบวิบพริบพรายอวดสายตา
ระยับทาทาบทอลงล้อทาง

งามเงื่อนยูงฝูงเฝ้าอยู่เช้าค่ำ
ชวนดื่มด่ำพร่ำพร้องวงช้องหาง
รำแพนร่ายกรายกรีดประณีตบาง
เลื่อมรติสิกระจ่างมิร้างโรย

ลมรำเพยแผ่วผิวมาหวิวหวีด
ลุ่มสังคีตโลมเล้าผะผ่าวโผย
ระบำใบไกวกวัดระบัดโบย
พระพายโชยชายประทิ่นมารินราย

หลงถวิลกลิ่นแก้วที่แคล้วคล้อย
เมียงชม้อยพลอยอาลัยหวั่นใจหาย
นวลพธูตรู่ทิวามาร้างวาย
ริ้วระบายร่ายโรยระโหยแรง

ก่อนเคยกรุ่นกลิ่นอยู่ไม่รู้สิ้น
เป็นอาจิณร่ำอยู่ไม่รู้แหนง
ฟุ้งตลบอบอวลนวลเจ้าแพง
มาเหมือนแกล้งแล้งลาให้อาวรณ์

คงเช่นรักปักจิตสนิทซึ้ง
ยังรัดรึงตรึงสลักเกินหักถอน
ความซาบซ่านจารจดทุกบทตอน
มิเคยคลอนคลาไคลจากใจนาง

แล้ววันหนึ่งซึ้งรักก็หักหาย
ที่มั่นหมายกลายกลับลับเลือนห่าง
รติรสร้างนิราศสวาทจาง
ดวงใจนางพ่างสะทกเพียงอกพัง

สวยปีกสีผีเสื้อยังเรื่อฟ้า
ว่อนเวหาเหินหาวพราวสะพรั่ง
งามแดดสายฉายอาบฉาบใบบัง
ริ้วนวลปลั่งเรณูไหวลู่ลม

เหมือนอกหญิงไหวหวามในความรัก
มั่นใจภักดิ์หนึ่งชายหมายสู่สม
แต่น้ำคำใจชายคล้ายคลื่นลม
ที่หว่านพรมเรณูทุกผู้นาม

แรกหวานล้ำคำพลอดใช้ออดอ้อน
ใจบังอรหลงละเมอจนเพ้อพร่ำ
ไม่ทันเล่ห์ลมลวงของบ่วงคำ
ช่างกลับกลอกชอกช้ำน้ำใจชาย

คล้ายกลิ่นแก้วแผ่วโผยระโหยหวน
ให้รัญจวนถ้วนนิยามของความหมาย
แรกซึ้งซ่านนานนับก็วับวาย
เช่นใจชาย...กลายกลับ...รักอัปราฯ


อีกวันที่ฉันมาขลุกอยู่ในห้องนี้ ห้องแสนคุ้นเคย คล้ายมันเป็นอีกห้องของฉันไปเสียแล้ว จำไม่ได้ว่าถือกุญแจอีกชุดหนึ่งของห้องนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จำได้ว่าตั้งแต่นั้นมา ฉันต้องหาเวลามาห้องนี้อาทิตย์ละครั้ง

กับบรรยากาศร่มรื่น สดชื่น สงบเงียบ เย็นสบายด้วยสายลมพัดผ่าน นกน้อยแวะมาร้องเพลงให้ฟังในบางห้วงยาม บ้างจับคู่จู๋จี๋กันเอง บางครั้งอาจเจี๊ยวจ๊าวด้วยประชากรนกที่เกาะกลุ่มกันหลายตัว ทำให้เห็นความมีชีวิตชีวาในมุมเล็กๆ อีกมุมหนึ่ง

ทุกครั้งที่ตั้งใจมายังจุดหมายแห่งนี้ ฉันมักมีโปรแกรมในหัวเสียดิบดี แน่นอนว่ามันก็ไม่พ้นไปจากเขียนนิยาย ไม่ก็อ่านหนังสือ แต่ใครเลยจะรู้ว่าทุกครั้งที่มา ฉันไม่เคยอ่านหนังสือจบเล่ม และเขียนนิยายได้ไม่เคยเกิน 5 หน้ากระดาษ ทั้งที่อยู่ห้องตัวเองท่ามสรรพเสียงสารพันรายล้อม ฉันเคยเขียนได้ถึง 15 หน้าในหนึ่งวัน

อาจเพราะความสดชื่นเกินไป สงบเกินไป เย็นสบายเกินไป หรือรื่นรมย์เกินไปก็ไม่แน่ แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังแวะมาทุกสัปดาห์

เจ้าของห้องเคยบอกว่าช่วงหน้าฝนจะได้ยินเสียงกบเสียงเขียดร้องกันระงม ชวนให้นึกถึงบรรยากาศบ้านทุ่งดีแท้ ฉันอยากลองสัมผัสกลิ่นอายแบบนั้นในซอกมุมของเมืองใหญ่แบบนี้ดูบ้าง จินตนาการได้เลยว่ามันจะเป็นยังไง และทุกครั้งที่คิดความรู้สึกฉันจะฟองฟูเหมือนลูกโป่งที่บวมลมอยู่ภายใน

ฉันเคยอยู่ในห้องนี้ขณะฝนตกหลายครั้ง กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ขณะนั้นฉันอยู่คนเดียว และแน่นอนว่าฉันจะหยุดทุกกิจกรรมเพื่อไปนั่งมองสายฝนอยู่ตรงประตูริมระเบียง ริ้วฝนหล่นลงเป็นม่านไม่ขาดสาย ตกลงกระทบหลังคาคล้ายเสียงดนตรีในดินแดนลี้ลับที่มีเพียงศานติสุขเท่านั้นสำหรับผู้เหยียบย่างเข้าไปคอยกล่อมประโลม

ละอองฝนที่ผ่านเข้ามาห้อมล้อมรอบกาย คล้ายเพื่อนเก่าโอบกอดด้วยอ้อมแขนคุ้นเคย

ครั้งหนึ่งฉันเคยอยู่ในห้องนี้กับเจ้าของห้องในวันที่ฝนโปรยปรายช่วงเย็นโพล้เพล้ พระอาทิตย์จวนเจียนจะลับขอบฟ้าเต็มที ฉันมองไม่เห็นขอบฟ้าหรอก ในเมืองใหญ่ที่มีตึกสูงเสียดฟ้ารายล้อมอยู่แบบนี้ จะมีช่องว่างพอให้เห็นขอบฟ้าได้อย่างไร แต่แสงสว่างรำไรรอบกายขณะนั้นทำให้คาดเดาห้วงเวลาได้ไม่ยากนัก

กับสายฝนที่สาดซ่าอยู่เบื้องนอก และเสียงเพลงสบายๆ ที่คลออยู่ในห้องท่ามกลางแสงนีออนสว่างจ้า กับกลิ่นหอมกรุ่นของมาม่าร้อนๆ เสียงพูดคุยบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่มาพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเราสองคน มันไม่ใช่สิ่งดียิ่งใหญ่อะไรในชีวิต แต่มันเป็นสิ่งดีเล็กๆ ที่ทำให้ห้วงความทรงจำขณะหนึ่งมีค่าเกินประมาณ

มีคนไม่กี่คนในโลกกว้างใหญ่นี้ที่เรายินดีสื่อสารด้วยหัวใจ หนึ่งในไม่กี่คนของฉันมีเธอรวมอยู่ด้วย เจ้าของพักหมายเลข 304 ห้าปีกว่าในความสัมพันธ์ของเราฉันไม่อาจบอกได้ว่าแสนสั้นหรือยาวนาน เหนียวแน่นหรือเปราะบาง แต่หากไม่นับคนในครอบครัว เธอคือคนแรกที่ฉันจะนึกถึงเมื่อไม่สบายใจ ถ้านั่นหมายความว่าเธอเป็นคนพิเศษของฉัน ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ฉันจะปฏิเสธ

ฟ้าครึ้มมาอีกแล้ว อีกไม่นานฝนคงตก แม้ฉันจะยังไม่ได้ยินเสียงกบเสียงเขียดร้องกันระงมอย่างที่เธอเคยบอก แต่ยามฝนตกอากาศเย็นแบบนี้ได้นึกถึงเรื่องอุ่นหัวใจก็ดีไม่น้อย


ด้วยรัก
ห้องพัก 304 ประชาสงเคราะห์ 23
07/09/52


๏ อวลอุ่นแสงอ่อนตอนตรู่สาง
ใยแมงมุมซับน้ำค้างกลางเหินหาว
ฉ่ำรวงรังพรั่งเม็ดเป็นเกล็ดพราว
งามวิบวาววับใสกับใยยวง

เย็นลมเย็นแผ่วพลิ้วมาริ้วรื่น
แมกไม้ดื่นส่ายไหวใบหล่นร่วง
กลิ่นผกาชายกรุ่นชวนอุ่นทรวง
ฤดีดวงไหวหวามทรามอนงค์

กระอายหมอกดอกดื่นชื่นน้ำค้าง
ไม่แรมร้างกิ่งก้านบานระหง
คลุมยอดไม้ไหวเอนเบนลู่ลง
ลุ่มพะวงโลมลูบจูบพะยอม

รื่นทิวามารตีศรีสว่าง
เจิดกระจ่างอวลละมุนอุ่นถนอม
เรืองอร่ามถิ่นคามดูงามพร้อม
ดั่งจะย้อมด้วยมณีรุจีรัตน์

เจ้าบินหลาหาคู่ได้อยู่เคียง
ร่ำจำเรียงเสียงใสใจประหวัด
เคียงคู่ครองปองอยู่ไม่รู้พลัด
ชีพสวัสดิ์ปลงปลิดไม่บิดเบือน

แว่วสกุณาป่าพงรับส่งทอด
จวบตลอดชลสินธุ์ทุกถิ่นเถื่อน
ครวญกังวานขานกล่อมล้อมเหย้าเรือน
มิรางเลือนลาลับกับสายลม

ภู่ภมรร่อนร่ายส่ายปีกทั่ว
คล้ายจะยั่วหยอกเย้าเฝ้าสู่สม
เกสรรักหวานหอมได้ดอมดม
ชวนภิรมย์ชมชิดสนิทนวล

อวลกลิ่นหอมพะยอมพันธุ์ของขวัญพี่
ช่อมาลีชูสล้างช่างหอมหวน
ดารดาษวาดแซมแต้มแต่งถ้วน
กรุ่นกลิ่นอวลอุ่นอยู่ไม่รู้วาย

ก้มจูบซับดอกอิ่มเจ้านิ่มเนื้อ
งามอะเคื้อวับแวมแย้มนวลฉาย
บ้างกลีบหล่นร่วงโรยลงโปรยปราย
ละไมม้ายเมืองแมนแดนโสภา

เพียงภิรมย์ชมชื่นจากตื่นฝัน
วิไลวรรณทุกสิ่งมิ่งเสน่หา
แจ่มกระจ่างพร่างพรายนัยนา
ดั่งมนตราห้วงยามงามตระการ

สร้อยบุปผามาลัยตั้งใจร้อย
อุบะห้อยกุหลาบคู่ชมพูหวาน
ร้อยด้วยรักจริงใจในดวงมาลย์
เพียงส่งผ่านรักแท้แด่พี่ยา

ให้ปลอบปลุกทุกขวัญกำนัลรัก
ชูใจภักดิ์สมมาดวาสนา
ให้รักอยู่ยืนยงคงคู่ฟ้า
ทุกรัตติทิวาอย่าร้างเลือนฯ



หวานเจ้าเอยหวานล้ำเกินคำกล่าว
หวานเรื่องราวกรุ่นหอมของจอมขวัญ
หวานคำเปรียบเทียบเทียวเกี้ยวรำพัน
หวานกำนัลคำรักในอักขรา

ผ่านเรื่องราวหลายหลากซากชีวิต
ผ่านคมคิดคืนวันที่ฟันฝ่า
ผ่านอวลเหงาเงาหลอนสุดอ่อนล้า
ผ่านเหว่ว้าอ้างว้างบนทางจร

ถ้อยคำรักถักใยในตราตรึง
แผ่วหวานซึ้งกลบเหงากับเงาหลอน
ลำเนารักถักทอรอเว้าวอน
มาออดอ้อนอิงแอบแนบกรุ่นกาย

ลืมเสียเถิดอ้างว้างบนทางเปลี่ยว
ลืมให้สิ้นดายเดียวเคยเกี่ยวก่าย
อ้อมกอดรักจักถนอมกล่อมให้คลาย
จบเรื่องร้ายพ้นผ่านสำราญวัน

เพลงขลุ่ยครวญหวนหวานผ่านม่านไผ่
ร้อยดวงใจแนบเนารักอักษรสรร
แม้นเดือนดับลับดวงห้วงชีวัน
ขอหมายมั่นรวมเรียงเคียงพี่ยา

หวานน้ำคำคมความงามไม่สิ้น
หวานรวยรินซ่านซึ้งน้ำผึ้งเดือนห้า
หวานคำพรอดออดอ้อนวอนวาจา
หวานอักขรายอดวิญญูไม่รู้คลายฯ


ภาพประกอบ : อินเทอร์เน็ต
วาระร้อยอักษรกำนัล 'หวาน' ท่านดิน
สหายรักต่างดาว

ฉันเชื่อเสมอกับการมอบความรักจริงใจให้กับบางสิ่งบางอย่าง ดูแลเอาใจใส่ทุกลมหายใจเข้า-ออก เราจะได้ความรักและการดูแลนั้นกลับคืน

ไม่ต้องดูไหนไกล แค่มองดูระหว่างเรา ฉันมอบความรักให้เธอ เธอมอบความรักให้ฉัน ช่วยดูแลมิตรภาพที่มีให้กันทุกลมหายใจเข้า-ออก ความสุขก็เบ่งบานอยู่ในหัวใจของเราทั้งสองคน

นั่นคือผลตอบแทนของความจริงใจที่เรามีให้กัน

บางทีฉันอาจคิดอย่างเธอที่ไม่เอา ‘งาน’ และ ‘เงิน’ มานำหน้า ‘ความสุข’

คำกล่าวนี้อาจตีความหมายเป็นเพียงคำปลอบใจตน หรือเพียงลมปากสวยหรูที่ปั้นแต่งไว้ลวงหลอกใครต่อใคร เมื่อคิดถึงความจริงที่ว่า ฉันไม่เคยมีเงินมากมายอะไร ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน

แต่สหายรัก

เมื่อนานมาแล้ว ฉันเคยทำงานเจ็ดวันในหนึ่งสัปดาห์ ผ่านเดือนแล้วเดือนเล่า เพียงเพื่อต้องการเงินมาซื้อความอยากให้ตัวเอง ฉันมีเสื้อผ้าที่ซื้อใหม่ทุกอาทิตย์อัดแน่นเต็มตู้ มีรองเท้าหลายแบบหลากสไตล์เรียงรายให้สวมใส่นับสิบคู่ มีกระเป๋าที่สามารถใช้ไม่ซ้ำแบบกันได้ทั้งอาทิตย์ มีเครื่องประดับ เครื่องประทินโฉมมากมายล้นกล่อง

นั่นคือกิเลสตัณหาที่ครั้งหนึ่งฉันเคยมี และมันไม่เคยพอ ความต้องการที่ร้อนเร่าอยู่ในจิตใจบังคับให้ฉันต้องไขว่คว้าเพื่อสนอง

แม้จะซื้อเสื้อผ้าทุกอาทิตย์ แต่ทุกครั้งที่แต่งตัวฉันไม่เคยมีชุดใหม่ๆ ใส่ ฉันจะมีเสื้อผ้าชุดใหม่ได้ยังไง ในเมื่อทันทีที่ฉันได้มันมาเป็นกรรมสิทธิ์โดยชอบธรรม มันก็จะกลายเป็นชุดเก่าไปในบัดดล และเจ้าตัวที่เรียกว่า ‘กิเลส’ ก็จะสั่งให้ฉันไขว่คว้ามาเพิ่มอยู่เรื่อยๆ

จนเมื่อวันหนึ่งฉันพบว่า เสื้อผ้าที่ฉันขนซื้อเข้ามานั้น เกินครึ่งที่ฉันไม่เคยใส่เกินหนึ่งครั้ง รองเท้าหลากแบบหลายสไตล์ที่เรียงรายให้เลือกใส่ โดนขี้ฝุ่นเกาะจนแทบไม่เห็นสีเดิม กระเป๋าที่มีให้ใช้ไม่ซ้ำแบบทั้งสัปดาห์ ฉันหยิบใช้แค่ใบเดียวตลอดทั้งเดือน และเครื่องประดับ เครื่องประทินโฉมทุกชิ้นยังวางแน่นิ่งอยู่ในกล่อง แทบจะไม่เคยผ่านการใช้งาน

และที่น่าตกใจก็คือ ฉันมองเห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงความว่างเปล่า

ฉันเพิ่งสำนึกได้ในวันนั้นเองว่าฉันกำลังไล่ล่าสิ่งไร้ค่า และฉันหวาดหวั่นเหมือนเด็กน้อยหลงทาง เมื่อรู้ว่า ตัวฉันมีเพียงความกลวงโบ๋ที่ล่องลอยไร้ทิศทาง

เป็นนานกว่าฉันจะคิดได้ ว่าฉันควรหยุดสนองให้กับตัวตัณหาที่กู่ก้องเรียกร้องอยู่ภายใน

เมื่อฉันหยุด เจ้าตัววายร้ายก็สงบซบเซา และความเร่าร้อนที่กระพือโหมไหม้อยู่ในจิตใจ ก็กลับกลายเป็นไฟเย็นที่นำความสงบรื่นมาสู่ดวงใจ

ฉันมิได้จะบอกเธอหรอกนะว่าเจ้าตัววายร้ายมันตายไปจากใจฉันแล้ว ไม่หรอก ไม่มีวันที่เจ้านั่นจะตายไปจากใจฉันได้ มันยังอยู่ตรงนั้น ด้วยท่าทีสงบและเซื่องซึม รอเวลาที่ฉันเผลอ เพื่อมันจะได้ออกมาเริงร่าอีกครั้ง ฉันทำได้ดีที่สุดเพียงควบคุมมันไว้ให้อยู่ในอาการสำรวมให้นานที่สุด

ทุกวันนี้ยามฉันเดินผ่านย่านศูนย์การค้าที่ผุดขึ้นเกลื่อนเมืองเพื่อล่อลวงให้มนุษย์ผู้อ่อนไหวเผลอตัว และเรียกร้องให้เจ้าตัวกิเลสออกมาโลดแล่น ฉันมองผู้คนที่หลงอยู่ในวังวนเหล่านั้น เหมือนฉันได้เฝ้ามองตัวเองในอดีต

แน่นอนว่าเมื่อยังอยู่ในสังคมแบบเก่าที่เคยอยู่ รายล้อมด้วยผู้คนในแบบที่ฉันเคยเป็น ความแตกต่างย่อมเห็นเด่นชัด อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของฉันเอง และสิ่งที่ตามมาคือความแปลกแยก ประหนึ่งฉันเป็นแกะดำหลงฝูง สิ่งที่ทำคือ ฉันเพียงระบายยิ้มบางๆ ให้กับความรู้สึกนั้น

สหายรัก ปัจจุบันขณะฉันดำเนินชีวิตอยู่บนความเรียบง่าย ไม่แสวงหา ไม่ดิ้นรน ทำงานแค่พอกิน ใช้เท่าที่มี ใช้เวลาที่เหลือเพื่อสิ่งที่รัก ...และฉันได้รับความรักนั้นตอบแทนมาทุกลมหายใจเข้า-ออกแล้ว


มิตรของเธอ
ปลายสิงหาฯ ๕๒

@ จดหมายจากดาวสีดิน : คำปลอบประโลม

เปิดประตูเข้าห้องที่คุ้นเคย ทุกอย่างยังอยู่ในที่ทางของมันเหมือนก่อนฉันออกจากห้องในตอนเช้า ชุดนอนที่ใส่เมื่อคืนยังแขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ารอฉันกลับไปใส่อีกในคืนนี้ โน้ตบุ๊กของเพื่อนยังวางอยู่บนเตียงตำแหน่งที่เธอเคยนอน หนังสือซึ่งอ่านค้างไว้คืนก่อนๆ ยังซุกตัวอยู่ระหว่างซอกหมอนคล้ายมันจะมีความสุขที่ได้ซุกอยู่ตรงนั้น ผ้าขนหนูยังแขวนเล่นลมไปมาอยู่ริมระเบียง

นาฬิกาบนฝาผนังส่งเสียงต๊อกๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เหมือนหน้าที่ของมันไม่มีสิ้นสุด วินาทีแล้ววินาทีเล่า รอบแล้วรอบเล่า อาจมีบางครั้งฉันเคยนึกรำคาญ แต่ตอนนี้มันกลับเป็นเพื่อนที่น่ารักที่สุด

เข้าคืนที่สองแล้วที่ฉันต้องนอนคนเดียว ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรมากนัก ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก่อนหน้าที่ฉันจะเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน และพรุ่งนี้ไม่มีงานรออยู่ ราตรีนี้คงยาวนานจนหยดสุดท้ายที่ฉันจะเก็บเกี่ยวไว้ แต่เมื่อตั้งใจเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยน ตีหนึ่งคือเวลาที่ฉันเข้านอนพร้อมทีวีที่ส่งเสียงดังอยู่เป็นเพื่อน และดวงไฟนีออนบนเพดานยังสว่างโร่ จนเมื่อตีสองเสียงของเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ก็ยังแว่วมาเข้าหูด้วยความรู้สึกสะลืมสะลือ

ฉันลุกมาดับไฟตอนหกโมงเช้าและกลับขึ้นเตียงอีกครั้ง เมื่อยังเหลือเวลานอนอีกสองชั่วโมงก็ไม่รู้จะรีบตื่นมาทำไม

เสียงนาฬิกาปลุกเรียกเมื่อเวลาแปดโมง เวลาที่ฉันสมควรอำลาเตียงนอนอันแสนอบอุ่น ลุกขึ้นมาเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน รดน้ำต้นไม้ริมระเบียง ต้นไม้ที่แม่ฝากไว้เมื่อห้าหกเดือนก่อนเพราะเอากลับบ้านไปด้วยไม่ได้เจริญเติบโตเขียวชอุ่มเกินหน้าเกินตาต้นไม้อัปลักษณ์ของเพื่อนรักร่วมห้อง ทั้งที่คนรดน้ำก็คนเดียวกัน น้ำที่ใช้รดก็มาจากที่เดียวกัน คนรดประจำไม่เคยแสดงท่าทีประหลาดใจใดๆ ให้เห็น แต่ทุกครั้งที่มานั่งมองฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไม?

กลับมานอนอ่านหนังสืออีกสักพักก็ได้เวลาน้ำเดือด ฉันชอบฟังเสียงน้ำในกระติกเต้นไปตามอุณหภูมิองศาที่เพิ่มขึ้นก่อนไฟสีส้มสดใสจะเปลี่ยนสถานะไปอยู่ในปุ่ม keep warm มันเหมือนเสียงฝนหลงฤดูตกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนอกระเบียง

ลุกไปเปิดน้ำร้อนละลายยาสมุนไพรที่หลวงพ่อให้มาเมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านครั้งล่าสุด เป็นยาแก้โรคอะไรฉันก็ไม่รู้ หลวงพ่อบอกว่าเป็นยาจากมาเลย์ทำมาจากว่านหายากชนิดหนึ่ง ท่านบอกชื่อมาด้วยแต่ฉันไม่ได้ใส่ใจจดจำ ฉันหวังเพียงบำรุงร่างกายให้เลือดลมสมบูรณ์ ก็ไม่รู้หรอกนะว่าตัวฉันเป็นโรคอะไรบ้าง แต่ฉันรู้สึกว่าร่างกายฉันย่ำแย่เต็มที ผลของการใช้ชีวิตผิดสุขลักษณะมาหลายปีดีดัก บวกกับการนั่งดมกลิ่นควันบุหรี่ในร้านอินเทอร์เน็ตมาหลายเดือน ตอนนี้ฉันเลิกเข้าร้านอินเทอร์เน็ตไปแล้ว ภูมิแพ้ที่เพิ่งสำแดงอาการก็ดูเหมือนจะทุเลาลง

บางทีฉันก็รู้สึกดีที่รู้ตัวว่าตนเองไม่สบาย เพราะคนที่รักฉันแสดงความห่วงใยจนฉันอบอุ่น พี่ชายโทรมาถามถึงสุขภาพร่างกายฉันเสมอ และจบลงด้วยประโยคที่ได้ยินเจนหูว่า “อย่านอนดึกนะ ดูแลตัวเองดีๆ” ประโยคธรรมดา ง่ายๆ แต่น้ำเสียงห่วงใยที่มาพร้อมกันนั้นทำให้ฉันอบอุ่นใจไปทั้งวัน แม่ก็เหมือนกัน หลายเดือนมานี้ทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์ แม่มักหลีกเลี่ยงเรื่องที่จะทำให้ฉันไม่สบายใจ ทุกครั้งที่วางสายจากแม่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแก้วบางล้ำค่าที่แม่จะไม่มีวันยอมให้ปริร้าว

การเป็นที่รักมันวิเศษอย่างนี้

คงมีสักวันที่ฉันจะทำให้คนที่รักฉันภูมิใจในตัวฉันได้บ้าง

ได้เวลาอาบน้ำแล้วมานอนอาบแสงนีออนให้เสียงทีวีกล่อมนอนอีกคืนแล้วล่ะ

ราตรีสวัสดิ์
๘ สิงหาฯ ๒๕๕๒
๒๓.๓๕ ห้องพัก ๕๑๐ ดินแดง


๏ ฟ้างามอร่ามฟ้า
โอ้ ใจข้าอยากโบยบิน
เยือนฟ้าย่ำเมฆินทร์
ไปเยี่ยมถิ่นเมืองวิมาน

เริงร่ายสู่ปลายรุ้ง
เจิดจรุงอันฉ่ำหวาน
โบยบินให้สำราญ
สุขสนานแดนฉิมพลี

อาทิตย์อัสดง
พลบค่ำลงร่ายแสงสี
ดาวเดือนเกลื่อนราตรี
ริ้วนทีล้อเล่นลม

ฟังเสียงเรไรร้อง
เคล้าทำนองหรีดประสม
กล่อมกาลอันเริงรมย์
มาห้อมห่มฉ่ำในทรวง

น้ำค้างพร่างไพรพฤกษ์
เด่นเดือนดึกลับเลยล่วง
ดาริกาพริบแสงยวง
ดุจแดนสรวงห้วงวิมาน

หิ่งห้อยล่องลอยลิ่ว
กะพริบพริ้วเป็นริ้วม่าน
เกลื่อนกล่นอนธการ
งามอ่อนหวานตระการตา

บทเพลงธรรมชาติ
ยังไหววาดสิเน่หา
แย้มยิ้มยามพริ้มตา
สู่นิทราอ้อมอกอุ่นฯ


ภาพประกอบ : อินเทอร์เน็ต

สวัสดีเพื่อนต่างดาว

ขณะที่ฉันเขียนจดหมายถึงเธออยู่นี้นาฬิกาบอกเวลา 0.00 น.

ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงเริ่มต้นจดหมายด้วยการกล่าวถึงเรื่องเวลา คงเพราะตอนคิดเขียนฉันยังไม่รู้จะคุยกับเธอด้วยเรื่องอะไรกระมัง เมื่อเหลือบเห็นเวลาจึงเอามันมาเป็นบทนำ

0.00 น. เหมือนมันเป็นเวลาสำหรับการเริ่มต้นเลยเธอว่าไหม? เริ่มต้นสิ่งดีๆ อะไรสักอย่าง และฉันก็เลือกที่จะพูดคุยกับเธอ ไม่ต้องยิ้มแก้มป่องขนาดนั้น ฉันรู้ว่าเธอดีใจ และฉันมีความสุขที่ได้รับรู้

เธอรู้สึกบ้างไหม เวลาในชีวิตผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน วันแล้ววันเล่าที่ดวงอาทิตย์หายลับไปกับขอบฟ้าแสนไกลฉันได้แต่นั่งถอดถอนใจ และเมื่อดวงอาทิตย์กลับมาอยู่เป็นเพื่อนอีกครั้งในเช้าวันใหม่ ฉันก็ปล่อยให้แต่ละนาทีผ่านไปเหมือนไร้จุดหมาย เพียงเพื่อจะกลับไปนั่งทอดถอนใจในยามพลบเหมือนเช่นที่ผ่านมา วงจรโง่งมและบัดซบ ทั้งที่รู้แต่ไม่เคยสลัดพ้น

อาจจะจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างจากสิ่งคุ้นเคยต้องใช้กำลังใจมหาศาล และฉันก็เป็นประเภทพวกขาดแคลนกำลังใจที่ว่านั้นเหลือประมาณ

เราจมปลักอยู่ในวังวนคุ้นเคย และยึดถือมันเป็นสรณะด้วยความชาชิน แม้ผลลัพธ์ตอนท้ายจะเป็นเช่นไร เราก็เตรียมข้ออ้างไว้ให้ตัวเองพร้อมสรรพแล้ว นั่นคือกลวิธีปกป้องตนเองที่มนุษย์กระทำ และเธอจะทายถูกเผงเลย ถ้ากำลังคิดว่าฉันก็เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญกลวิธีที่ว่านั่น

บางทีอาจเป็นเพราะชีวิตฉันมีเวลาเหลือเฟือสำหรับให้กระทำทุกสิ่งตามใจปรารถนา จนมองไม่เห็นคุณค่าของมัน ไม่รู้สึกว่าเวลามีค่ามากมายเพียงใด และได้แต่เฝ้างุนงงสงสัย เมื่อใครๆ ต่างพากันโอดครวญว่าไม่มีมัน เมื่อใครๆ ต่างก็เร่งทำโน่นทำนี่เพียงเพื่อให้พอกับเวลาที่จำกัดจำเขี่ยของตน

อาจบางทีเพราะฉันไม่รู้วันสุดท้ายของชีวิต ฉันจึงหลงระเริงอยู่ในความไม่รู้นั้น และคิดว่ามันคงยาวนาน ยาวนานจนพอจะให้ฉันกระทำทุกสิ่งที่ตั้งใจได้หมดสิ้น แม้ฉันจะไม่เริ่มต้นสิ่งที่ตั้งใจในวันนี้ เวลานั้นก็ยังเพียงพอสำหรับฉันอยู่ดี

เห็นไหม? นั่นคือการคิดเข้าข้างตัวเองที่โง่เง่าและเลวร้ายที่สุด!

ในเมื่อเวลาไม่เคยรอท่าทุกสิ่ง และเวลาไม่เคยหวนคืนมาใหม่ ถ้าทุกวินาทีที่ผ่านเลยไปทิ้งไว้เพียงความเปล่าไร้ นั่นคือความล้มเหลวที่สุดในชีวิต ไม่ใช่หรือ?

แม้จะรู้ว่ามันคือความล้มเหลว ฉันก็ยังคงนอนกระดิกเท้าด้วยความไม่แยแส ก็บอกแล้วไงว่าฉันคือผู้เชี่ยวชาญกลวิธีปกป้องตนเอง ฉันมีข้ออ้างเตรียมไว้เป็นตันสำหรับความล้มเหลวที่ว่า เพื่อบูชาตนเองไว้ในความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีมือของความสำนึกผิดใดๆ จะอาจเอื้อมมาถึง

แต่เชื่อไหม? ในความบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้น ฉันกลับทรมาน

0.00 น. สำหรับการเริ่มต้น ฉันหวังจะสลัดความทรมานนั้นออกไปพ้นจากความรู้สึก ฉันหวังว่าจะสร้างกำลังใจให้ตัวเองได้เพียงพอสำหรับการเปลี่ยนแปลงสักสิ่ง ฉันหวังให้ทุกวินาทีที่ผ่านเลยไปได้ทิ้งบางอย่างไว้ให้ฉันได้ภาคภูมิใจเมื่อหันกลับไปมอง

เธอจะเริ่มต้นสิ่งดีๆ ที่ว่านี้ไปด้วยกันไหม?


ด้วยความระลึกถึง
เพื่อนต่างดาวของเธอ
ปลายกรกฎาฯ ๒๕๕๒



๏ ปางน้องรักพี่ฤดีถ้วนเทวษถวิล
เหมือนพสุธาโอบเอื้อเกื้อชีวิน
รักดารินเกินจันทร์จะกั้นกลาง

เหมือนน้ำค้างหยาดเกล็ดเป็นเพชรใส
รักเรียวหญ้าโล้ใบเกินใครขวาง
สายลมแผ่วยังพลิ้วมาบางบาง
รักโลกกว้างทางเถื่อนมิเลือนลา

คณนากว่าประมาณเกินการณ์คิด
จะลิขิตก็เกินถ้อยร้อยภาษา
จนคำกล่าวสาวเค้นเป็นวาจา
อย่าเมินหน้าหมางหมองไม่มองเมียง

หากบินได้เหมือนผีเสื้ออะเคื้อทุ่ง
จะโฉบปีกร่ายฟุ้งทั่วทุ่งเถียง
พาพี่ร่อนลมไปคู่ใจเคียง
สู่วังเวียงถิ่นแถนเยี่ยมแดนฟ้า

นี่เพียงกายหมายมั่นก็บั่นสิ้น
แค่ลมลิ้นฤาซ่านซึ้งคะนึงหา
เพียงสองแขนก็ยากแม้นจะไขว่คว้า
ร้าวอุรารุ่มร้อนรอนฤทัย

ต่อแต่นี้คงจมทุกข์ถวิล
ไม่สุดสิ้นสายรักให้ผลักไส
ยากตัดเยื่อร้างสวาทอนาถใจ
จะมีไหมทุกข์ทั้งแหล่เกินแต่นี้

ห่างเหลือเกินระยะทางมาพรางพราก
ให้ทุกข์ยากด้วยจิตคิดถึงพี่
กายห่างไกลอย่างไรมิไยดี
เพียงรักนี้คล้องใจมิไกลกัน

วิบากกรรมไฉนในชาติก่อน
ถึงยอกย้อนซ้อนมาดั่งอาถรรพ์
คงเป็นบาปหนักแท้แต่ปางบรรพ์
ตามลงทัณฑ์ทุกข์ทนถึงหนนี้

โอ้ ดวงใจไม่สิ้นไร้อาลัยรัก
เฝ้าฟูมฟักสมัครมั่นไม่ผันหนี
หลงคำหวานผ่านพจน์บทกวี
แม้นคนดีลวงสิ้นด้วยลิ้นลวง

สุดแต่ใจของพี่ปรานีน้อง
จะสนองปองสมัครให้รักล่วง
หรือสะบั้นบั่นทิ้งทุกสิ่งปวง
ก็ไม่ทวงถามไถ่ใจจำนน

ด้วยเพราะรักจึงสมัครจักสมาน
แม้นจะนานกาลเปลี่ยนเวียนกี่หน
ดวงใจหนึ่งซึ้งซับรับทุกข์ทน
ยังมากล้นสายใยแก้วใจเอยฯ

@ เรไรร่อนร้อง : ปางพี่รักเจ้า
เพื่อนต่างดาวของฉัน

ฉันเข้าใจมิตรภาพบนดาวของเธอแล้ว ทั้งหมดนั้นล้วนยืนอยู่บนพื้นฐานของความธรรมดาสามัญ ที่คนบนดาวของฉันหลงลืมไปเสียสิ้น ที่นี่เราวิ่งไขว่คว้าความเจริญ สู่ความก้าวหน้าทุกรูปแบบ จนอนุชนรุ่นหลังไม่รู้จักคุณค่าพื้นฐานของชีวิต คุณค่าที่รวมองค์ประกอบหลายๆ อย่างไว้ด้วยกัน องค์ประกอบที่คนบนดาวของฉันเห็นว่ามันไร้ความหมาย และไม่คู่ควรที่จะให้ความสนใจ

สิ่งที่เราทอดทิ้งคือความเรียบง่ายของการดำรงอยู่

อย่างที่เธอเห็นฉันจดจำวันเวลา เพราะเราให้ความสำคัญกับสิ่งที่วัดค่าได้ เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่จับต้องได้ ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผลพวงจากการรุดไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของดาวดวงนี้ มันทำให้ผู้คนที่นี่จิตใจหยาบกระด้างขึ้น เหมือนที่เธออาจสัมผัสได้ในจดหมายบางฉบับของฉัน

ฉันดีใจที่รู้ว่าดาวของเธอยังคงโคจรไปเรียบเรื่อยตามวิถีทางของมัน ไม่บ้าคลั่งอย่างที่ดาวของฉันได้ประสบมา

เพราะนั่นหมายความว่าสรรพชีวิตยังคงสอดประสานกันเหนียวแน่นและลงตัว ทุกอย่างล้วนเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันด้วยมิตรไมตรีดีงาม ไม่มีใครสำคัญกว่าใคร ไม่มีสิ่งใดเหนือค่ากว่าสิ่งใด มันคือความเท่าเทียมที่ทรงคุณค่ายิ่ง เพราะสรรพชีวิตทั้งหลายมิได้ดำรงตนอยู่เพียงเพื่อตนเอง หากดำรงอยู่เพื่อเกื้อกูลทุกสรรพชีวิตที่รายล้อม

ถ้าเพียงแค่เราไม่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่สวนรวมให้มากเข้าไว้ ความสงบสุขแห่งชีวิตจะไปไหนเสีย

แต่บนดาวของฉันมิได้เป็นเช่นนั้น

ที่นี่มนุษย์สำคัญกว่าทุกสิ่ง เรากระทำย่ำยีกับสิ่งอื่นได้โดยชอบธรรม ธรรมชาติ ป่าไม้ ขุนเขา ก้อนกรวด เม็ดทราย จะไม่มีค่าอะไรเลย เมื่อเทียบกับมนุษย์แม้เพียงชีวิตเดียว

และเหนือกว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ด้วยกัน

การมีชีวิตอยู่เหนือกว่ามนุษย์ทุกตัวตน นั่นคือเกียรติยศสูงสุดของการมีชีวิตอยู่ หลายคนของที่นี่จึงไล่ล่าเกียรติยศนั้น แม้ต้องเหยียบย่ำใครบ้างก็ไม่มีใครสนใจ มีคำกล่าวหนึ่งที่ฉันพอจะนึกออกขณะนี้

‘ปลาใหญ่กินปลาเล็ก’

มันหมายความว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้อ่อนแอย่อมถูกผู้แข็งแกร่งกว่ากลืนกิน

พวกเราจึงมีชีวิตอยู่แบบปัจเจก เราจะมีปฏิสัมพันธ์กับใครก็ต่อเมื่อเรามั่นใจว่าจะได้ผลประโยชน์จากผู้นั้นเท่านั้น

...นี่แหละชีวิตบนดาวของฉัน...

ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้คิดเกี่ยวกับการสื่อสารด้วยพลังชีวิตของกันและกัน ฉันจะระลึกไว้เสมอว่าบนพื้นฐานของธรรมดาสามัญทุกสรรพชีวิตทรงคุณค่าเท่าเทียม และนอกจากมนุษย์ที่เอาแต่ชิงดีชิงเด่นด้วยกันแล้ว ทุกอย่างรอบตัวล้วนมีชีวิต มีวิญญาณ ไว้ให้เราสื่อถ้อยสดับสารแม้มิพักกล่าววาจา แต่สัมผัสได้ถึงหัวใจว่าเรามิได้ดำรงอยู่เพียงเปลี่ยวดาย ยังมีหลากหลายชีวิตรายล้อมเกื้อกูลเราอยู่ในที่ทางของตนเอง

ฉันจะมองสิ่งรอบตัวด้วยความนึกคิดใหม่

ระลึกถึง
กรกฎาฯ ๒๕๕๒

@ จดหมายจากดาวสีดิน : ช่องว่าง

สวัสดีเธอผู้อยู่ในความทรงจำเสมอมา

๔๓ วัน ที่ฉันไม่มีตัวอักษรถึงเธอเลย ฉันไม่รู้ว่าเธอรู้สึกยังไงเมื่อตัวอักษรของฉันห่างหายไป บางทีเธออาจคิดว่าฉันทิ้งขว้างเมื่อความตื่นเต้นที่ฉันเคยมีหมดสิ้นลง

ถ้าเธอกำลังรู้สึกน้อยใจ เสียใจ ผิดหวัง หรืออะไรก็แล้วแต่สำหรับการขาดหายของจดหมายจากฉัน ขอเธอโปรดรู้ไว้ สำหรับเธอแล้ว คำว่าทิ้งขว้าง ละเลย หรือหลงลืม ไม่เคยมีอยู่ในหัวฉันเลย เธอยังคงอยู่ ณ ที่หนึ่งที่สวยงามไม่แปรเปลี่ยน

หวังว่า ๔๓ วันที่ผ่านมาเธอคงสบายดีและมีความสุข ส่วนฉันชีวิตยังเรียบเรื่อยไปตามทำนองที่มันเคยเป็นมาและควรจะเป็นไป แต่ก็ยังพอหาความสุขเล็กๆ ในบางจังหวะได้เสมอ เธอคงรู้ดี รอบกายเราล้วนมีความสุขมากมายรายล้อม อยู่ที่เราจะเปิดตาเปิดใจมองมันหรือเปล่า บางครั้งเพียงได้นั่งมองใบไม้พลิ้วไหวในสายลม ก็ทำให้หัวใจสงบสุขได้แล้ว

เธอเคยหรือเปล่า? เคยนั่งนิ่งๆ แล้วมองสรรพสิ่งรอบตัวเคลื่อนไหวไปตามลีลาของมัน อาจเป็นกระดิ่งลมตรงระเบียง หรืออาจเป็นผ้าม่านริมหน้าต่าง

ประหลาดใจมั้ย? ที่สิ่งไม่มีชีวิตจิตใจ เคลื่อนไหวได้ราวมีชีวิตชีวา ใครกันบอกว่ามันไม่มีชีวิต?

โลกนี้ล้วนซุกซ่อนสิ่งมหัศจรรย์ที่เราไม่อาจคาดเดา บางทีในความไม่มีชีวิตนั้น อาจซุกซ่อนบางอย่างที่เกินกว่าคำว่า ชีวิตชีวา

ริ้วมู่ลี่สะบัดตัวเกี่ยวพันกันไปมา คล้ายมันกำลังหยอกล้อเจ๊าะแจ๊ะกันเอง แล้วก็นั่นอีก โมบายเปลือกหอยเสียดสีกันในริ้วลมพัดผ่าน มันกำลังขับขานบทเพลงเริงร่าในท่วงทำนองละเมียดละไม

ใช่แน่หรือ ว่าทั้งหมดนี้ไม่มีชีวิต?

แต่ช่างเถอะ สิ่งเหล่านั้นจะมีชิวิตหรือไร้ชีวิตก็ไม่สำคัญไปกว่า พวกมันทำให้ฉันมีความสุขได้ในบางห้วงยาม เหมือนเพื่อนเริงรื่นยามฉันมีความสุข เหมือนมิตรปลอบประโลมยามฉันหงอยเหงา เหมือนคนคุ้นเคยที่สื่อสายใยว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

ใช่ไหมว่าทั้งหมดนั้น คือความผูกพัน?

แค่มีความผูกพัน สิ่งไม่มีชีวิตก็หมือนมีชีวิต สิ่งไร้ค่าก็มีความหมายเกินประมาณ ในนามความผูกพันสรรพสิ่งล้วนเท่าเทียม

เธอกับฉันต่างที่มา ต่างที่ไป แตกต่างในทุกสิ่ง แต่ไม่เคยแตกต่างในความรู้สึก คงไม่ต้องบอกว่าเพราะอะไร

ในความสุขเล็กๆ ของฉัน ส่วนหนึ่งคือการได้เขียนจดหมายมาหาเธอ ทำนองของความคิดถึงผสานไปกับเส้นเสียงเริงร่าของโมบายเปลือกหอย คลอเคล้าไปกับริ้วมู่ลี่ต้องลม และกระดิ่งลมแกว่งไกว

ฉันมีความสุขในเส้นสายใยผูกพันที่เรามีต่อกัน


รักและคิดถึง
เพื่อนเธอบนดาวสีน้ำเงิน
กลางกรกฎาฯ ๒๕๕๒


-๑-
เมฆครึ้มอึมครึมทะมึนฟ้า
สกุณาคืนถิ่นบินกลับขอน
สายลมครางอู้อยู่ซอกซอน
หน้าต่างบางตอนพะเยิบรัว

แล้วพลันดอกฝนก็หล่นร่วง
รับช่วงสายลมมาพรมทั่ว
รอบรายกายตนดูหม่นมัว
ซุกกายซบหัวกับโซฟา

ฉ่ำเย็นความเป็นมาแห่งฟ้าฝน
ร่วงหล่นตกเม็ดแล้วแตกพร่า
สายฝนสาดสายจากปลายฟ้า
งดงามนัยน์ตาที่พร่าจาง

บางงามยามเหงาในเงาเงียบ
เยือกยะเยียบเฉียบซ่านสะท้านร่าง
สะท้านลึกสะอึกอั้นให้ควั่นคว้าง
เวิ้งว้างว่างวายรายรอบตัว

อาจดวงตาหม่นมัวสลัวเศร้า
จึงหลากเหงาโถมทับไปถ้วนทั่ว
ล้อมกายในอาณาจักรความหวาดกลัว
กรีดระรัวร้าวรานอยู่ด้านใน

ใช่! ฉันเหงา เหงาลึกจนนึกหวั่น
จนตะครั่นสั่นรัวจนตัวไหว
จนสะอื้นรื้นร้าวท่าวทบใจ
อยู่ในความร้างไร้ความไม่มี

ไม่มีไฟฝันอันงามงด
มีแต่โศกสลดมาแทนที่
มองสายฝนสาดสายหลายนาที
น้ำตาปรี่ล้นปริ่มอยู่ริมตา

แหงนมองฟ้ามืดชืดสีหม่น
แว่วคำรนครืนครางอยู่ข้างหน้า
ฟ้าร้องก้องกังวานสะท้านฟ้า
ฉันซบหน้ากับพื้นสะอื้นฮัก

-๒-
ผ่านไป...ผ่านไป...ในความเงียบ
ยังแต่ความเย็นเฉียบอันหน่วงหนัก
ยันกายนั่งนิ่งแล้วอิงพัก
ทอดสายตาไร้หลักอย่างเดียวดาย

แล้วพลันรอยยิ้มก็ปริ่มหน้า
โศกาโศกศัลย์นั้นพลันหาย
น้ำตาเยียบเย็นเหมือนเร้นกาย
สิ้นสลายเศร้าสร้อยรอยอาดูร

.............................

ดวงตาที่เห็นเป็นประกาย
เฉิดฉายพรายแจ้ง....แห่งรุ้งงาม!


โอ...ใจข้าจะละลาย
ยากแท้บรรยายเป็นกลอนกล่าว
ถ้อยคำความรักชักแพรวพราว
บอกเล่าเรื่องราวกับสายลม

ชื่นฉ่ำคำหวานมาผ่านแผ่ว
กลิ่นแก้วรวยเร่ประเสประสม
โชยชื่นรื่นรายมาชายชม
พริ้มพรมพร่างเพราะเสนาะพราว

หวีดหวิววังเวงวิเวกไหว
สายลมโลมไล้เจ้ารวงข้าว
พัดปลิวเศษดินถึงดวงดาว
ส่งข่าวความรักมาทักทาย

กังวานซ่านซับรับกระแส
ย้ำความแน่วแน่กระแสสาย
แม้ทางห่างไกลเกินพบกาย
จะถอดใจวางรายให้รักเรา

เรียวหญ้าโน้มกอล้อเม็ดทราย
ในอ้อมแขนสยายของขุนเขา
นกน้อยกรายปีกเพียงแผ่วเบา
ซุกกายแนบเนากับซอกหิน

ท่ามแสงสายัณห์ตะวันพลบ
จนบรรจบราตรีมิรู้สิ้น
แผ่วพรายกรายเสียงมาเพียงพิณ
เยือนยินเพลงคลื่นคืนฟ้างาม

ลมดึกหวนคลอพะนอเน้า
รักเราบรรจบทั้งภพสาม
ล่วงพ้นมนต์ลวงของห้วงยาม
สู่แดนนิรนามข้ามฉิมพลี

แดนฝันโอบกอดความรัก
ทายทักวิมานซ่านสุขี
แม้กายเพียงเศษเถ้าธุลี
แต่รักเสรีพ้นห้วงจักรวาลฯ


@ เรไรร่อนร้อง : ในอุ้งมือเธอ



๏ ในรอยยิ้มหม่นเหงาเขาคนนั้น
กับแววตาไหวหวั่นฉันคนนี้
บอกเรื่องราวข่าวนานาประดามี
ล้วนชีวีพานพบประสบมา

เขาอาจมียิ้มแย้มแต่งแต้มโลก
แต่มีโศกกำสลดรันทดกว่า
อาจรอยยิ้มที่เห็นเป็นมายา
ข่มน้ำตากล้ำกลืนหยาดรื้นใน

ฉันอาจมีดวงตามองฟ้ากว้าง
มองทุกอย่างงดงามความสดใส
แต่ลึกล้ำซ่อนเร้นสิ่งเป็นไป
แววหวาดไหววุ่นตระหนกได้ปกปิด

เขาอาจยิ้มเย้ยฟ้าท้าทายโลก
เย้ยวิโยคโลกบิดเบี้ยวเดียวดายชีวิต
หยันหลากสิ่งโง่งมพรหมลิขิต
ครุ่นความคิดผิดชั่วของตัวตน

ฉันมองเขาไหวหวาดอนาถเศร้า
หลบเร้นเงาเดียวดายคล้ายสับสน
บางดำเนินเดินย่ำย้ำมืดมน
อาจบางหนวนว่ายไร้ปลายทาง

ฉันมองฉันเศร้าแท้ดั่งแพ้พ่าย
หลากความหมายครุ่นครวญล้วนเมินหมาง
ปล่อยชะตาพาไปในอ้างว้าง
แม้แรมร้างทางไร้ไม่ไยดี

ถึงจะแพ้จะพ่ายหน่ายแค่ไหน
ก็สิ้นไร้สิทธิ์เบี่ยงบ่ายจะหน่ายหนี
เขากับฉันคล้ายกันคือหน้าที่
หอบชีวียับเยิน...เดินต่อไปฯ




รักเอยอยู่ไหน
เจ้าอยู่หนใดนะเจ้าความรัก
ดวงใจดวงหนึ่งคิดถึงเจ้านัก
โอ้เจ้าความรักอย่าเชือนอย่าแช

รักเอยอยู่ไหน
อยู่แห่งหนใดข้าคอยชะแง้
เหลียวมองหาเจ้าสุดสายตาแล
กลับไม่มีแม้เงารักให้ยล

รักเอยอยู่ไหน
อยู่แห่งหนใดใจข้าหมองหม่น
คิดถึงแต่เจ้าทุรายทุรน
โอ้ใจจำทนทุรนเดียวดาย

รักเอยอยู่ไหน
อยู่แห่งหนใดใจข้าสลาย
ข้าเพ้อถึงเจ้าจวนใจมลาย
จนแทบจะวายชีวาปลิดปลง

รักเอยอยู่ไหน
เจ้ารู้บ้างไหมทำใครลุ่มหลง
มีใครคนหนึ่งยังเฝ้าพะวง
อยู่ในดวงดงหนามทุกข์ทิ่มแทง

รักเอยอยู่ไหน
อย่าร้างห่างไกลอย่าคอยกลั่นแกล้ง
ข้าเปิดหัวใจตีแผ่แสดง
เจ้าอย่าหน่ายแหนงคลางแคลงฤดี

รักเอยอยู่ไหน
มาหาดวงใจเฝ้าคอยที่นี่
ข้าเพ้อถึงเจ้าชั่วนาตาปี
อย่าร้างไมตรีหนีไปไกลตา

รักเอยอยู่ไหน
อยู่ในพงไพรซ่อนในเพิงผา
อยู่ในน้ำใสใต้บึงธารา
หรือโพ้นขอบหล้าสุดฟ้าอมร

รักเอยอยู่ไหน
อยู่ในห้วงใจให้ใครซุกซ่อน
อยู่ในเขาเขียวป่าเปลี่ยวทางจร
หรือในดงดอนหมู่ภมรเคล้าคลึง

รักเอยอยู่ไหน
คิดถึงข้าไหมสักใจเสี้ยวหนึ่ง
ข้าเพรียกเรียกเจ้าเฝ้าคอยคะนึง
เพ้อพร่ำรำพึงสุดซึ้งดวงแด

รักเอยอยู่ไหน
อย่าร้างห่างไกลจากใจรักแท้
ข้าผูกสมัครรักไม่ผันแปร
ดวงใจแน่วแน่คอยเจ้า....รักเอย.



๏ ม่านพรางรางหม่นมนต์ราตรี.........................รัตติกาลคลายคลี่
โอบล้อมค่ำคืนเดือนแรม

พร่างหมอกดอกดาววับแวม.............................เสี้ยวจันทร์แต่งแต้ม
แซมฟ้าลายตาราตรี

คล้อยคืนเดือนเลือนเคลื่อนที่...........................เคลื่อนจากที่มี
สู่ที่มืดมิด ขอบฟ้า

เสี้ยวจันทร์สว่างพร่างพรายมายา......................แสงนวลยวนหล้า
คล้ายว่าลวงตาลวงใจ

รูปเงารางเลือนเคลื่อนไหว..............................วูบวาบวับไว
เส้นสายดนตรีลีลา

ไร้เสียงสำเนียงแปร่งปร่า...............................ชดช้อยท่วงท่า
ล้วนลีลาศนาฏศิลป์

แว่วเพลงพรายคล้ายว่าได้ยิน..........................กรายเสียงสุดสิ้น
ไม่สุดเริงรำทำนอง

วูบไหวในใจเกี่ยวคล้อง..................................ร้อยรัดดั่งปอง
ร้อยกรองกวีกาพย์กานท์

ตราบสู่แสงทองประสาน.................................เลือนมนต์รัตติกาล
เปิดม่านมนตรารวีฯ



๏ ฝากความรักในแววตาผู้ประสบ
ให้พานพบหยาดรุ้งพร่างบนทางฝัน
ด้วยรอยยิ้มพริ้มพรายสายสัมพันธ์
ผ่านวันผ่านคืน ตื่นใจ

ฝากความฝันให้สายลมรำเพยผ่าน
ล่วงวันวารบรรลุปัจจุสมัย
ตราบยาวนานอนาคตอันแสนไกล
ขอความฝันโบยบินไปไม่เลือนลา

ฝากความหวังให้ดวงดาวพราวกะพริบ
เอื้อนกระซิบแผ่วผ่านการแสวงหา
บนหนทางทอดสายสุดปลายฟ้า
ทุกความหวังทรงคุณค่าทุกนาที

ฝากกำลังใจในดอกไม้แย้มบาน
สื่อถ้อยสารปลอบปลุกทุกวิถี
ขับลำนำครื้นครวญล้วนไมตรี
ช่อมาลีพราวพร่างทุกทางใจ

แย้มรอยยิ้มพริ้มพักตร์รักละมุน
อิ่มอ่อนอุ่นจุนเจือเกื้อสมัย
พรายแสงหม่นมนต์ดาราสุดฟ้าไกล
วิบวับไหวนาฏคีต์ฤดีกาล

บนเส้นสายลายลางทางชีวิต
ถ้วนสถิตถ้อยสดับทุกสรรพสาร
ในแววตาผู้ประสบเพิ่งพบพาน
อาจอิ่มรักส่งผ่านจากม่านตา

ในสายลมโลมไล้ละมุนแผ่ว
ยังวับแววความฝันอันเจิดจ้า
เจิดจำรัสดวงดาวบนราวฟ้า
อาจความหวังรอท่าพริบตาดาว

ท่ามดอกไม้หลากสีมาลีหวาน
ล้วนเบ่งบานกำลังใจในย่างก้าว
กลั่นถ้อยสารจารฝากหลากเรื่องราว
ให้เพริศพราวสกาวพร่างแนบกลางใจ

ทุกอณูสรรค์สร้างทางที่หวัง
เปี่ยมพลังศรัทธาค่ายิ่งใหญ่
คอยโอบเอื้อเกื้อหนุนอุ่นละไม
เพียงเปิดใจถ้วนรับสดับสาร



๏ บทรักหวานชวนชื่นในคืนหนาว
กับเดือนดาวพราวพร่างกระจ่างฝัน
หอมรวยรินกลิ่นบุปผาลดาวัลย์
ลมรำพันรื่นโรยมาโชยชาย


ท่ามเหินหาวดาวดื่นนับหมื่นแสน
อุ่นอ้อมแขนพิลาสอันมาดหมาย
เคียงสู่ฝันในนิรันดร์อันพริบพราย
อุ่นไอรักอ้อมกาย สบสายตา


ถ้อยกระซิบแว่วหวานกังวานซึ้ง
สบตราตรึงพิศวาส ปรารถนา
รัญจวนรักทักถามหวามอุรา
ท่ามนาวาเพ็ญเพียงร่วมเรียงใจ


เดือนเด่นดวงหวงแหนดินแดนฝัน
เฝ้ารำพันพร่ำพรอดเคียงกอดใกล้
ตราบห้วงยามหวามทรวงเลยล่วงไป
สบซึ้งนัยดวงตาด้วยอาวรณ์


ก่อนจะย่างสู่ทิวาอุษาเยือน
ไม่ลืมเลือนฝากใจไว้ใต้หมอน
ให้รักห่มล้อมกายได้แนบนอน
ในอ้อมอุ่นอาทรนิทรารมย์


กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าอุษาสมัย
พลันดวงใจรุ่มร้าวราวอกขม
บทรักหวานชวนชื่นในคืนตรม
สุดระทมจริงแท้...แค่ฝันไปฯ


สวัสดีเพื่อนต่างดาวของฉัน

เธอเป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า ฉันห่างหายไปช่วงหนึ่งเธอจะคิดถึงฉันบ้างไหม แต่ไม่แปลกหรอกหากเธอจะมีเรื่องราวให้คิดให้กระทำมากมาย จนไม่มีเวลามาใส่ใจว่ามีใครบ้างห่างหายจนลืมเลือนไปในความคิดเธอ เพราะฉันก็เคยเป็นแบบนั้นบ่อยๆ

เธอจะว่าอะไรไหม? ถ้าฉันจะบอกว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาฉันไม่ได้คิดถึงเธอเลย ก็ฉันมีเรื่องโน้นให้คิด มีเรื่องนี้ให้ทำไม่จบไม่สิ้นจนไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องอื่นนอกเหนือเรื่องราวที่อยู่เบื้องหน้านะสิ

แต่ยังไงฉันก็ไม่เคยลืมเธอหรอกนะ นี่ไง ฉันส่งจดหมายมาหาเธอแล้ว ยืนยันว่าเธอจะอยู่ในความคิดคำนึงของฉันเสมอเมื่อฉันว่างจากเรื่องราวมากมายที่รายล้อม

เปล่าเลย ฉันไม่ได้จัดเธอไว้ในความคิดถึงลำดับสุดท้าย เพียงแต่ฉันวางเธอไว้ในความคิดถึงที่สวยงามจนไม่อาจแตะต้องให้เธอต้องแปดเปื้อนเมื่อปัญหาต่างๆ ยังรกสมอง

และเมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแล้วนั่นแหละ หลายสิ่งหลายอย่างที่ซุกตัวหลืบเร้นอยู่ในห้วงคำนึง จึงได้สำแดงตัวตนออกมา หนึ่งในนั้นคือเธอที่แจ่มกระจ่างอยู่ในมโนภาพ

ฉันจับกระดาษดินสอขึ้นขีดเขียนตัวอักษรถึงเธอ เพื่อให้ตัวอักษรเดินทางมาหาเธอพร้อมๆกับความคิดถึง ให้เธอได้สัมผัสมันด้วยสายตาด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ความคิดถึงฝากสายลมแสงแดดไปเพียงเดียวดาย เพราะฉันไม่มั่นใจว่าสายลมจะพัดพามันมาถึงเธอหรือเปล่า

วันเวลาที่ฉันห่างหาย รวมกับเรื่องราวมากมายที่เข้ามา ทำให้ฉันเติบโตขึ้น เหมือนหนอนแก้วที่กระดึ๊บตัวออกจากเปลืองไข่มามองดูโลกกว้าง หาใช่สิ่งมีชีวิตน้อยๆที่เอาแต่ซุกกายอยู่ในเปลือกแข็งๆให้ความไร้เดียงสาห่อหุ้มเหมือนเก่า

ฉันอาจต้องเติบโตให้มากกว่านี้เพื่อโผบินไปในโลกกว้างด้วยสองปีกแข็งแรงของฉันเอง แต่การเติบโตที่ผ่านมาก็บอกให้รู้ว่า ฉันเข้าใกล้ความเป็นผีเสื้อเข้ามาอีกนิดนึงแล้ว

หวังว่าเธอและฉันจะเติบโตไปด้วยกัน


รักและคิดถึง
เพื่อนเธอบนดาวสีน้ำเงิน
ต้นฤดูฝน

ฟ้าเบื้องบนมืดทะมึนด้วยเมฆฝน ฉันเร่งฝีเท้าออกนอกอาคารขณะที่ความคิดจดจ่อกับโทรศัพท์ในมือ ภาวนาให้ปลายสายตอบรับเสียทีแทนที่จะเป็นเพียงสัญญาณรุมเร้าจิตใจอย่างที่เป็นอยู่ สองข้างทางผู้คนจับกลุ่มพูดคุยเป็นระยะ ฉันไม่สนใจว่าจะมีใครหันมามองบ้าง และไม่สนใจแม้แต่จะยิ้มตอบรอยยิ้มมิตรภาพที่ทักทายมา มันไม่ดีเลยกับการกระทำแบบนี้ แต่อารมณ์ที่กำลังประสบทำให้ฉันไม่อยากใส่ใจกับเรื่องรอบตัวเลยจริงๆ

สัญญาณปลายสายดับไปแล้ว ฉันกดโทรออกเบอร์เดิมอีกครั้งโดยไม่เสียเวลาหยุดคิด ไม่กี่อึดใจก็ได้ยินเสียงที่รอคอย

“กำลังนั่งรออยู่”

ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ผ่านมาตามสาย ทำให้ฉันเหลียวมองรอบตัว

...ใช่...เขานั่งรออยู่...ตรงนั้น...คนเดียว...

เพียงแวบแรกที่เห็น ก้อนความรู้สึกต่างๆขึ้นมาจุกตรงลำคอ ขอบตาร้อนผ่าว ท้องฟ้าอึมครึมภายนอกไม่เท่ากับความมืดครึ้มในใจฉันขณะนี้

อะไรกันที่ทำให้เขามา?

แน่ละ อันดับแรกคือความผิดพลาดในการสื่อสาร แต่สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในนั้นคือความผูกพัน ห่วงใย ใช่ไหม?

นานทีเดียวกว่าฉันจะข่มความรู้สึก ก้าวเท้าเข้าไปหาเขา

สองสามประโยคแรกของการเริ่มต้นสนทนาฉันต้องเสมองไปทางอื่น เพียงเพราะฉันไม่กล้าพอจะมองเห็นความผิดหวังในแววตาคู่นั้น แต่เพียงแวบเดียวที่ปัดสายตาผ่าน ฉันกลับมองเห็น และความรู้สึกที่ข่มไว้เมื่อครู่ก็ถั่งโถมเข้ามาอีกระลอก หนักหนาสาหัสกว่ามากมายนักจนฉันแทบรั้งน้ำตาไว้ไม่ไหว จำต้องเปลี่ยนเรื่องและแสร้งยิ้มกลบความรู้สึก ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ารอยยิ้มนั้นมันฝืดเฝือสิ้นดี

เกือบครึ่งชั่วโมงที่เรานั่งคุยกัน มันน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับความรู้สึกที่อยากชดเชยให้เขา แต่ความห่วงใยในอีกคนซึ่งรออยู่เบื้องหลังทำให้ฉันไม่สามารถยืดเวลาออกไปได้อีก

เราแยกกันเมื่อเมฆฝนตั้งเค้าเมื่อครู่เริ่มสลายตัวพร้อมกับแสงแดดอ่อนๆทอลอดลงมา แต่ในใจฉันกลับเยียบเย็นจนลำแสงอ่อนอุ่นนั้นไม่สามารถทอผ่านเข้าไปคลี่คลายได้เลย

เดินแยกมาได้ระยะหนึ่ง ฉันหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง แล้วน้ำตาหยดแรกก็รินไหล

ไม่นานหรอกเราจะพบกันอีก ในความรู้สึกงดงามกว่านี้...อีกไม่นาน...

๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒
๑๖.๓๐ น.

ข้างนอกฝนยังตกพรำๆ ได้ยินเสียงฟ้าร้องเป็นระยะสลับด้วยฟ้าแลบแปลบปลาบ คืนนี้อากาศคงเย็นสบายหลังจากที่ร้อนมาหลายคืน

ฝนตกมากว่าชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่ฉันยังอยู่ที่ทำงาน ทันทีที่รู้ว่าฝนตกฉันยิ้มออกมาพร้อมด้วยประโยค
“ดีจัง คืนนี้ต้องนอนหลับสบายแน่เลย”
“ก่อนจะบอกว่าดีจัง มาคิดกันก่อนดีกว่ามั้ยว่าจะกลับยังไง?” เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งขัดขึ้น แต่ฉันไม่ได้กังวลเรื่องนั้น ขอแค่ฝนตก จะกลับที่พักยังไงไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องขบคิด ฉันยินดีเดินไปท่ามสายฝนกระหน่ำด้วยความสุขใจ

โชคดีที่เรามีร่มสองคันสำหรับสี่คน แน่นอน ฉันต้องคู่กับเพื่อนรัก เราเดินไปพร้อมพูดคุยแข่งเสียงสายฝน ร่มคันน้อยไม่เพียงพอสำหรับการเบียดกายของสองคน ฉันเปียกครึ่งนึงเธอเปียกครึ่งนึงแต่ไม่มีใครอนาทร

ฉันแวะส่งเธอที่ป้ายรถเมล์เหมือนเช่นทุกครั้ง บอกให้เธอเป็นคนเอาร่มไป แต่เธอปฏิเสธไม่มีเหตุผลใดมากไปกว่าเธอเป็นห่วงฉันเท่ากับที่ฉันเป็นห่วงเธอ

หลังจากเธอขึ้นรถเมล์ไปแล้วฉันจึงผลุบเข้าอพาร์ตเม้นต์ กระเป๋าสะพายโดนฝนจนเปียกโชกไปทั้งใบในนั้นมีหนังสือที่เพิ่งซื้อมาเมื่อสามวันก่อนอยู่ด้วย แม้กระเป๋าจะเป็นแบบกันน้ำแต่ก็อดห่วงหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ เริ่มหายใจโล่งขึ้นเมื่อเปิดดูภายในพบว่าข้าวของทุกอย่างยังปกติดีอยู่

จัดการเททุกอย่างในกระเป๋าออกมา เช็ดจนแห้งดีจึงผึ่งพัดลมไว้อีกที กับกระเป๋าใบโปรดฉันต้องทะนุถนอมอย่างดีที่สุด

อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ตรวจดูกระเป๋าอีกครั้งเมื่อมั่นใจว่าแห้งสนิทจึงเก็บข้าวของใส่ไว้เหมือนเดิม ก่อนจะคว้าสมุดดินสอมาเอนตัวลงนอนยังที่ของตน อยากเขียนอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้จะเขียนอะไรดี ตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อกลางวันว่าก่อนนอนคืนนี้จะเขียนเรื่องสั้น แต่เสียงฟ้าร้องครืนๆข้างนอกทำให้ฉันไม่กล้าเปิดคอมพิวเตอร์ และถึงแม้จะเปิดได้จริงๆ ก็ยังไม่รู้ว่าจะกลั่นประโยคแรกออกมาได้หรือเปล่า หลายสิ่งหลายอย่างพิสูจน์มาแล้ว ในความคิดทุกอย่างง่ายเสมอ ลงมือกระทำนั่นสิยากแสนยาก และน้อยเท่าน้อยที่จะได้ดั่งใจวาดหวัง ...แต่ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

นึกอยากเขียนกลอนอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเค้นวรรคแรกมาแล้วทั้งวันกลับไม่ได้อะไร ก็ไม่รู้จะเอาวรรคต่อไปมาจากไหน

จดๆจ้องๆจะเขียนจดหมายไปหาเพื่อนแดนไกล กลับไม่มีเรื่องอะไรจะเล่า ก็ได้แต่จดๆจ้องๆอยู่อย่างนั้น

และเมื่อเขียนเรื่องสั้นไม่ได้ เขียนกลอนไม่ออกไม่มีอะไรจะเล่าในจดหมายให้เพื่อนแดนไกลได้รับรู้ แต่อารมณ์อยากเขียนยังไม่ผ่อนคลายก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าบันทึกสักหน้ากระดาษ

นานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันไม่ได้เขียนบันทึกอารมณ์ความรู้สึกหรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ไม่อยากจะนึกย้อนเพื่อตอกย้ำความไร้วินัยของตนเอง หลายครั้งที่คิดว่าฉันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ก็อีกนั่นแหละเมื่อไม่ได้กระทำจะเอาสิ่งดีนั้นมาจากไหน

หลายครั้งอีกเหมือนกันที่ฉันเริ่มต้น แต่ไม่มีก้าวต่อติดตามมา สุดท้ายสิ่งเหล่านั้นจึงเคว้งคว้างไร้แก่นสาร หวังว่าบันทึกฉบับนี้จะไม่เป็นอย่างนั้น ขอเถิดนะ ให้ครั้งใดก็ตามที่ฉันกลับมาอ่านบันทึกฉบับนี้ ความรู้สึกขณะเขียนจะยังคงอวลอยู่ในทุกตัวอักษรไม่สร่างซา

นอกระเบียงฝนหยุดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เลย แต่เมื่อก่อนนอนได้ฟังเพลงสายฝนแบบนี้ คืนนี้ฉันคงนอนหลับฝันดี

ราตรีสวัสดิ์
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒
๐๐.๔๐ น.


๏ เจ้าค้นหาสิ่งใดเล่าในชีวิต
ท่ามถูกผิดก้าวย่างทางแสวง
ท่ามคืนวันฟันฝ่าอ่อนล้าแรง
เจ้าเผยแจ้งสิ่งใดแก่ใจตน

ถามใจเจ้าแล้วหรือไม่ ให้รับรู้
ท่ามเป็นอยู่เลือนรางกับบางหน
บางสิ่งเร้นลึกล้ำอำพรางตน
คอยเจ้าค้นห้วงใจ ได้พบเจอ

กับบางสิ่งค้นถามนิยามความหมาย
เหมือนคลับคล้ายย้อนนิยามความพลั้งเผลอ
บางสิ่งหวังงดงามความเลิศเลอ
ท้ายที่สุดเพียงเพ้อละเมอครวญ

ค้นไปเถิดค้นหาทุกหนแห่ง
ทั่วถ้วนแหล่งหฤหรรษ์ผ่านเสียงสรวล
ทั่วทุกหย่อมรอนรานในร้าวรวน
ทั่วทุกเสียงโหยหวนครวญระงม

ค้นในความสุขสันต์เจ้าปั้นแต่ง
ค้นในรอยขัดแย้งความขื่นขม
ค้นเถิดใจค้นหาตามอารมณ์
เจ้าคงเจอตรอมตรมสักซอกใจ

เจ้าปรารถนาสิ่งใดเล่าในชีวิต
กับห้วงยามความคิดอันฝันใฝ่
บางสิ่งหวังยังย้อนซ่อนความนัย
ตามรายทางดวงใจในอาดูร

ปรารถนาเจ้าแรงกล้าไม่ล้าอ่อน
ไม่แผ่วผ่อนตราบชีวิตไม่สิ้นสูญ
ความอยากเจ้ามีแต่เติมมาเพิ่มพูน
ยังแต่ซากปฏิกูลท่วมท้นใจ

ปรารถนาไปเถิดอย่าได้หยุด
ให้ที่สุดกำซาบซึ้งถึงโหยไห้
ปรารถนาให้สุดห้วงของดวงใจ
เริงระบำฟอนไฟไปตามกาล

ท่ามคืนวันหรรษาในหล้าโลก
อาจเสียงโศกเตรียมสดับกล่อมขับขาน
ในเสียงก้องสรวลสันต์อันกังวาน
อาจยาวนานเสียงเศร้าเคล้าทำนอง

เจ้าได้รับสิ่งใดในที่สุด
เมื่อดวงใจพิศุทธิ์เจ้ามัวหมอง
หลงโง่งมมัวเมาเร้าคะนอง
ใจจำจองในบ่วงกามทรามโลกีย์ฯ

สวัสดีเพื่อนต่างดาวของฉัน

วันนี้รู้สึกไม่สบายใจเลย มันหวิวๆ หวั่นๆ นั่งอยู่เฉยๆ ก็อยากร้องไห้ เหมือนฉันกำลังเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่ไม่มีจุดบรรจบของพื้นดินอย่างเดียวดาย ไม่ว่าจะนึกถึงใครที่เคยคิดว่าพึ่งพาพักพิงได้ทุกครั้งเมื่อต้องการ ความรู้สึกภายในกลับผลักไสคนเหล่านั้นออกไปไกลจากความรักความโหยหา ยิ่งคิดถึงคนที่รักและผูกพันมากเท่าไหร่ฉันยิ่งเคว้งคว้างและเดียวดายมากเท่านั้น

ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากฟังเสียง อยากพูดคุย อยากรับรู้ว่าใครบางคนสุขสบายดี ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม สมองสรรหาคำพูดมากมาย แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงปลายสายฉันกลับนั่งบื้อพูดไม่ออก ประโยคแรกออกจากปากเมื่อน้ำตาไหลนองสองแก้ม ฉันไม่ได้ร้องไห้หรอกนะ น้ำตามันไหลมาเองต่างหาก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำมันไหลออกมาตอนไหน มารู้ตัวอีกทีเมื่อสัมผัสได้ถึงรสเค็มฝืดเฝื่อนที่ปลายลิ้นนั่นแหละ

คุยได้ไม่กี่ประโยคก็ต้องรีบวางสายเพราะหากฝืนคุยนานกว่านั้นฉันคงไม่ไหว กดตัดสายไปแล้วประโยคที่ตั้งใจดิบดีอยากพูดจริงๆกลับเพิ่งหลุดออกมา

“...คิดถึงแม่จัง...”

ขณะนั่งทำงานอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ผู้คนมากมายเดินผ่านหน้า ทั้งที่ไม่คุ้นชิน แค่คุ้นหน้า หรืออาจคุ้นเคย ความรู้สึกไม่ต่างกันเลย เขาเหล่านั้นล้วนเป็นคนอื่นไกล ฉันกำลังแปลกแยกและแตกต่าง เหมือนเราหมุนอยู่คนละวงโคจร วงโคจรแรกมีผู้คนมากมายเหล่านั้น ส่วนอีกวงโคจรมีเพียงฉันเดียวดาย

อยากกลับไปนอนซุกกายเงียบๆ ไม่ขยับเขยื้อน นอนอย่างนั้นเฉยๆจนความรู้สึกต่างๆเดินทางผ่านพ้น เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา ซุกกายอยู่ในมุมแคบๆล่องลอยไปในโลกสีหม่น ถึงวินาทีสุดท้ายตื่นขึ้นมาพบโลกใบเดิมด้วยตัวฉันคนเดิม

ฉันนั่งมองตัวอักษรที่เคยบรรจงปั้นแต่ง ผ่านหน้าแล้วหน้าเล่าด้วยสมองขาวโพลนทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยชื่นชมมันนักหนา ไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆ ให้สัมผัส ไม่มีแม้คำถาม คำตอบว่าทำไม? เพราะอะไร?

เปิดดูจดหมายของเธอที่เขียนถึงฉันเมื่อวันก่อน ริมฝีปากฉันยิ้มแต่น้ำตาฉันไหล ฉันไม่ได้ยิ้มให้กับเนื้อหาในจดหมายนั้น ฉันไม่ได้อ่านมันด้วยซ้ำ ที่ยิ้มเพราะฉันเห็นตัวอักษรของเธอ บอกไม่ถูกหรอกว่า ดีใจ เสียใจ มีความสุข ความเศร้า หรืออารมณ์ไหนกันแน่ แค่เห็นตัวอักษรของเธอฉันก็ยิ้มได้แล้ว แต่ฉันไม่รู้ทำไมน้ำตาต้องไหล และก็อีกนั่นแหละ นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันร้องไห้

ไม่รู้ฉันเป็นอะไรในความโหวงเหวงที่โอบกอด ไม่รู้อีกเหมือนกันฝ่ายใดโอบกอดฝ่ายใดไว้กันแน่ อาจเป็นฉันที่ฉุดรั้งความรู้สึกนั้นไว้ เพียงเพราะอยากรู้มันจะไปสิ้นสุดปลายทางที่ใด ลึกๆ แล้วฉันคงอยากสัมผัสให้สุดซึ้งถึงอารมณ์ที่กำลังประสบอยู่นี้

เธอไม่ต้องใส่ใจอะไรหรอก ฉันเพียงอยากเขียนอะไรเรื่อยเปื่อย


ผู้สับสนบนทางอ้างว้าง
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒

๏ รอนรอนตะวันโอ้........................อัสดง
รอนม่านเมฆาลง........................เลื่อมฟ้า
รอนลับมืดดับดง...........พงพฤกษ์ แดนไพร
รอนรอนราวใจข้า............สิ้นลับ ดับรอน ฯ

๏ รอนรอนตะวันลับ.....................สิ้นแสงดับกับอัสดง
ลบเหลี่ยมเมฆาลง.............พงไพรพฤกษ์ลึกเลื่อมเงา

มองไหนให้มืดมิด..................ทั่วทุกทิศมิดม่านเหงา
สะทกโอ้อกเรา.........................ยามไร้เจ้าเฝ้าเจรจา

เห็นนกวิหกบิน.........................หวนคืนถิ่นบินลัดฟ้า
ถวิลเจ้าจินดา...........................ไม่หวนมาหาเห็นกัน

เย็นลมเคยพรมผ่าน...........พลิ้วแผ่วหวานล่วงวารวัน
ลมนุชหยุดพัดพลัน................อยู่ไหนกันหนอสายลม

ยินแว่วเรไรหรีด..................เจ็บราวมีดกรายกรีดคม
ปร่าปวดรวดร้าวจม..................ระทมทุกข์ทุกวันคืน

หนาวฟ้าหนาวค่ำฟ้า............นานเหน็บล้ากว่ากายฝืน
ระกำสุดกล้ำกลืน...........................กี่ค่ำคืนจะคืนมา

มองดาวพริบพราวส่อง...........พร่างดาวผ่องนองนภา
ดาวเห็นเด่นดารา...........................หาไม่มีธุลีดาว

ดึกเดือนเลือนเมฆเหงา..........ลับม่านเนาเงาค่ำคราว
หวังใจไม่ลืมคร่าว.............ดั่งจันทร์เจ้าเฝ้าเลือนดวง

จะคอยแม้คล้อยค่ำ...........ดึกน้ำค้างพร่างหนาวหน่วง
หนึ่งใจใช่คำลวง.......................กี่เลยล่วงก็จะคอย

@ เรไรร่อนร้อง : จะคอย โดย ธุลีดิน

สวัสดีเพื่อนใหม่ผู้อยู่ไกลถึงดาวสีดิน

ไม่นึกไม่ฝันว่าฉันจะได้รับจดหมายจากเธอ มันพิสูจน์ให้เห็นว่าระยะทางไม่มีผลต่อความตั้งใจของเรา

เรื่องราวบนดาวของเธอน่าสนใจจัง ฉันตื่นเต้นมากมายเชียวล่ะ ตัวอักษรของเธอทำให้จินตนาการของฉันโบยบินไปไกลจนนึกอยากเห็นนกกระดาษบินว่อนเต็มท้องฟ้า อยากคว้าเมฆกระดาษที่ลอยฟ่องเหล่านั้นมาปั้นฝันรูปร่างตามใจปรารถนา อยากท่องไปในมหาสมุดใหญ่โตที่เธอกล่าวถึงมองดูหลากหลายความฝันของนักเดินทางคนอื่น ไม่แน่ อาจมีสักความฝันในหลายหลากฝันเหล่านั้นช่วยจุดประกายไฟฝันของฉันให้คุโชน หรืออย่างน้อยก็ช่วยหล่อเลี้ยงไฟฝันของฉันให้ส่องแสงอยู่ต่อไปแม้เพียงริบหรี่อย่าเพิ่งมอดดับไปขณะที่ฉันยังไม่ได้เริ่มต้นอะไรเลย

ฉันอยากเห็นถนนหนทางที่ปูด้วยตัวอักษรละลานตา เดินย่ำเท้าไปเรื่อยๆ และถ้ามีแรงพอทำได้ฉันจะเดินไปให้สุดขอบฟ้า

ฉันอยากเห็นเพิงพักเรียงราย ทั้งเพิงความรัก เพิงความหวัง เพิงกำลังใจ เพิงโชคชะตา ฉันจะเข้าไปเยี่ยมชมให้ครบทุกเพิงเชียวล่ะ แต่แย่ตรงที่ฉันเกลียดเพิงหน้าที่และความรับผิดชอบ ถ้านี่คือด่านทดสอบจริงๆ เห็นทีฉันคงซี๋แหงแก๋ตั้งแต่หน้าประตูโดยไม่มีโอกาสยื่นฎีกาขออุทธรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ฉันเคยพยายามฝึกฝนตัวเอง ใช้ทั้งวิริยะและอุตสาหะ แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่า ถึงทุกวันนี้ฉันก็ไม่เคยทำสำเร็จ

อ้อ ฉันอยากเห็นต้นดินสอปักปลายลงดินด้วยล่ะ ไส้ดินสอต้องทำหน้าที่เป็นรากแก้วแน่ๆ พูดแล้วก็อยากกัดกินผลไม้รสเลิศจากต้นดินสอขึ้นมาแล้วสิ หลังจากนั้นเราค่อยจูงมือท่องไปในดินแดนมหัศจรรย์ด้วยกัน ว่าแต่เธอแน่ใจนะว่าผลไม้ที่ว่านั่นกินเข้าไปแล้วจะพาเราท่องไปในดินแดนที่ยังไม่มีใครสำรวจจริงๆ หรืออย่างร้ายเพียงแค่ทำให้จินตนาการสะดุด ฉันเกรงแต่จะมีผลไม้ต้องคำสาปเหมือนสวนอีเดนหลงอยู่ด้วยน่ะสิ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันไม่เอาด้วยนะ ฉันยังไม่พร้อมเป็นอีฟ

สุดท้ายฉันก็อยากเห็นทุกอย่างที่เธอเขียนถึงนั่นแหละ

เธอยกตัวอย่างเรื่องการพบพานและปรากฏการณ์โชคชะตาทำให้ฉันนึกสงสัย เธอจัดความสัมพันธ์ของเราไว้ในประเภทไหน? พบพานผูกพันหรือเพียงปรากฏการณ์โชคชะตาธรรมดาที่บังเอิญเธอได้รับจดหมายจากฉันและนึกสนุกตอบกลับ คิดอีกทีเราก็เหมือนตัวละครในเรื่องที่เธอเล่า(เธอตั้งใจหรือเปล่า?) เพียงแต่กลับกันที่ฉันเป็นฝ่ายสุ่มเสี่ยงส่งจดหมายมาหาเธอก่อน แทนที่จะเป็นเธอซึ่งถ้าเปรียบกับตัวละครในเรื่องก็คงรับบทเป็นพระเอก

ฉันไม่น่าถามอะไรโง่ๆ เลยนะ ในเมื่อเธออุตส่าห์ตั้งใจเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังเธอก็ต้องให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของเราอยู่แล้วล่ะ แม้จะเพียงเริ่มต้น ฉันจะไม่สงสัยอะไรสำหรับเรื่องนี้อีก

ฉันชอบประโยคนึงจังเลย ‘หยาดน้ำตาเธอจะอยู่กับเขาจนลมหายใจสุดท้าย’ นั่นสิ เมื่อความผูกพันผูกมัดเราไว้กับใครคนหนึ่งสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือเหนี่ยวรั้งเค้าไว้ให้อยู่กับเรานานเท่านาน นานเท่าที่ความสามารถจะมี ...เราก็ทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้

เมื่อเวลาพรากมาเยือน ยิ่งได้ผ่านช่วงเวลาพบพานมาอย่างงดงาม ฉันยิ่งไม่มั่นใจเลยว่าจะทำใจยอมรับมันได้?

ขอบคุณที่ตอบจดหมายกลับ มันทำให้ทุกตัวอักษรของฉันมีความหมาย


ปรารถนาให้เธอมีความสุขทุกวัน
เพื่อนของเธอ
ฤดูร้อนอันยาวนาน ๒๕๕๒


@ จดหมายจากดาวสีดิน : ดาวของฉัน



๏ บนหนทางแปลกแยกและแตกต่าง
ในระหว่างทางที่เจอ เธอกับฉัน
ผ่านพบสื่อนิยามความผูกพัน
ผ่านวันทบวันอันเป็นไป

บนเส้นทางก้าวผ่านด่านอดีต
ฉันเขียนขีดชีวิตอันยิ่งใหญ่
ก้าวต่อก้าวฟันฝ่าท้าความนัย
ก้าวเดินไปด้วยไฟฝันที่ฉันมี

บนเส้นทางก้าวย่างทางชีวิต
จะถูกผิดลิขิตฝันทุกวันวี่
ฝันต่อฝันเติมฝันทุกวันมี
ใช้ชีวีทั้งชีวีเป็นเดิมพัน

สบเส้นทางหมายมาดปรารถนา
สบสายตามาดหมายคล้ายห้วงฝัน
สบเพียงซึ้งตรึงใจในสัมพันธ์
นัยน์วงตาคู่นั้นไม่ผันแปร

จะกี่ทางกี่ก้าวกี่หนาวร้อน
ทุกบทตอนทบทวีนี้แน่วแน่
เมื่อมีรักหล่อเลี้ยงในดวงแด
กี่ขวากหนามจะไม่แพ้ไม่คร้ามเกรง

ดุ่มด้นเดินฝ่าฟันด้วยฝันใฝ่
ดุ่มด้นไปด้วยใจไม่คว้างเคว้ง
ท่วงทำนองชีวิตยังบรรเลง
เป็นบทเพลงสื่อความหมายได้ประจักษ์

ฉันเรียงร้อยวันคืนด้วยความฝัน
เธอเรียงร้อยคืนวันด้วยความรัก
ทุกรอยเท้าก้าวย่างต่างตระหนัก
เมื่อมีฝันร้อยรัก...อิงพักใจฯ



๏ เห็นเธอน้ำตานอง
ฉันนั่งมองด้วยห่วงใย
คนดีจะรู้ไหม
ฉันห่วงใยเธอเสมอ


เรื่องราวในชีวิต
ใครลิขิตให้กับเธอ
ทุกข์เศร้าที่พบเจอ
หวังเพียงเธอเข้มแข็งพอ


วันคืนจะลบล้าง
ความอ้างว้างที่เกิดก่อ
คืนวันจะถักทอ
ให้เกิดก่อสุขสดใส


ด้วยรักทั้งชีวิต
แนบสนิทลงกลางใจ
ปลอบขวัญเจ้าทรามวัย
ด้วยหัวใจห่วงอาทร..


แด่ คนในกระจก



๏ เพ็ญโสมกระจ่างฟ้า...............จวงจันทร์
ลอยลิ่ววิลาวัณย์.......................แจ่มหล้า
เมฆยังคลอเคียงกัน................เกยอยู่ คู่เคย
อยู่ไหนเล่าขวัญข้า...........ไยร้าง ห่างไกล ฯ


๏ พระพายเคยผ่านแผ้ว................พจนีย์
พัดแผ่วแว่ววลี........................ห่อนเว้น
เย็นสายลมวจี.................เวียนแวะ รจนา
แลกลายอักขระเล่น.......เป็นเพื่อน มาเสมอ ฯ


๏ สงัดเงียบเสียยิ่งแล้ว..............สหายเอย
สายลมเคยรำเพย....................แผ่วพลิ้ว
ยามนี้หยุดพัดเลย...............ราวสิ้น แรงลม
ลืมแล้วเคยเริงริ้ว.......แรมรส อักขระละไม ฯ


๏ เจ็บปวดแลป่วยไข้................ใช่ไหม?
จึงไม่อาจพัดไกล...................กว่ากลั้น
หนักเบาเป็นฉันใด...............ใคร่รู้ จริงแฮ
ห่วงใยกังวลนั้น.............เนิ่นช้า ยิ่งถวิล ฯ


@ ราวไร้พระพายพัด..รำเพย โดย ธุลีดิน

สวัสดีเธอผู้เป็นเพื่อนใหม่

นี่เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ฉันเขียนมาหาเธอ หวังว่าเธอจะสุขสบายดีและมีความสุขกับจดหมายฉบับก่อนหน้านี้ ฉันรู้แล้วล่ะว่าเธอได้รับจดหมายฉบับนั้นเรียบร้อยแล้ว เธอคงสงสัยล่ะซิ ฉันรู้ได้ยังไง? ฉันก็บอกไม่ถูกหรอก แต่ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้นนี่นา เธอไม่รู้หรอกว่าฉันดีใจมากแค่ไหนเมื่อคิดว่าเธอกำลังนั่งอ่านจดหมายฉันอยู่

ไม่สำคัญว่าเราจะอยู่ไกลกันแค่ไหน ฉันรู้ ความคิดถึงของฉันเดินทางไปถึงเธอเสมอ เช่นเดียวกันความคิดถึงของเธอก็เดินทางมาถึงฉันเรียบร้อยแล้ว ฉันเห็นนะ เธอกำลังนั่งยิ้มอยู่ ใช่มั้ยล่า? นั่นไง เธอยิ้มกว้างมากขึ้น เห็นฟันหมดทุกซี่เลย!

มิตรภาพเล็กๆ ก่อเกิดขึ้นจากตัวอักษรไม่กี่ตัว ฉันไม่รู้ว่าเธอให้ความสำคัญกับมันแค่ไหน แต่รู้ไว้เถิดสำหรับฉันมันมีค่ามากมายเกินประมาณเชียวล่ะ

ใครๆ มักบอกว่าการพบกันคือจุดเริ่มต้นของการพรากจาก ฉันไม่เถียงสักคำเดียว! ...ก็มันจริงนี่นา... แต่ก่อนพรากจากนั่นสิเราได้สร้างอะไรให้ความทรงจำในอนาคตของเราหรือเปล่า? ฉันว่าจุดนี้สำคัญกว่าเป็นไหนๆ จดหมายฉบับที่แล้วฉันพูดถึงความทรงจำเธอจำได้ไหม? ‘ความซาบซ่านอันแสนอาดูร’ ไง ถึงมันจะบีบคั้นความรู้สึกให้ถวิลหาอาวรณ์ก็เถิด ฉันก็ยังยินดีจะมีมัน ก็มันคือความทรงจำดีๆ นี่นา

เชื่อได้เลย มิตรภาพของเราในวันนี้จะเป็นความทรงจำดีๆ ของฉันในวันข้างหน้า เมื่อการจากลาเดินทางมาถึง

ตลกจัง เราเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่ฉันดันพูดถึงการจากลาซะแล้ว เธอจะว่าฉันบ๊องมั้ยนะ?

อยากรู้จังเลย ดาวที่เธออยู่จะเป็นยังไงบ้าง จะเหมือนดาวสีน้ำเงินที่ฉันอยู่หรือเปล่า? เธอรู้จักดาวสีน้ำเงินมั้ย? ที่นี่มีทะเลสีคราม มีท้องฟ้าสวยใสไกลสุดสายตาจะมองเห็น มีแม่น้ำเย็นฉ่ำชื่นใจ มีภูเขาที่มีต้นไม้ปกคลุมเต็มพืดไปหมดจนฉันชักสงสัยว่าหากหลงเข้าไปในภูเขานั้นตลอดทั้งชีวิตที่เหลือฉันจะหาทางออกเจอหรือเปล่า? มีนกสารพันชนิดบินว่อนเต็มท้องฟ้า มีดอกไม้สารพันอย่างสีสันแปลกตาแถมกลิ่นก็หอมหวนชวนดม มีแมลงอีกมากมายก่ายกอง

บนดาวสีน้ำเงินมีความสดใสไร้เดียงสาเป็นบทเริ่มต้นของชีวิต ตอนเด็กๆ ฉันเคยวิ่งไล่จับผีเสื้อด้วยล่ะ แต่ตอนนี้ฉันโตเกินกว่าที่จะทำแบบนั้นอีกแล้ว มีหลายอย่างที่ฉันเคยทำตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถทำมันได้อีก เมื่อเราโตขึ้นอะไรๆ ก็เปลี่ยนไป

เธอรู้มั้ย? บางทีฉันรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตช่างไร้สาระสิ้นดี มันเหมือนฉันกำลังจมปลักอยู่ในความไร้สาระนั้นจนหาทางออกไม่เจอ ฉันพยายามคิดใคร่ครวญไตร่ตรองทุกเรื่องราว แต่ทุกครั้งก็ไม่ต่างกัน ฉันไม่เคยได้อะไรจากความพยายามนั้นเลย ...บางที ฉันอาจต้องการเวลามากกว่านี้สำหรับการครุ่นคิด หรืออาจเป็นเวลาสำหรับเรียนรู้โลกให้มากขึ้น ไม่แน่นะ ในอนาคตเมื่อฉันมองย้อนกลับมา ฉันอาจรู้สึกว่าความสงสัยนี้ต่างหากคือสิ่งไร้สาระแทนที่จะเป็นเรื่องราวต่างๆ บางทีสิ่งที่ถูกต้องคือ ฉันไม่ควรสงสัยอะไรเลย ฉันเพียงแค่ดำเนินชีวิตไปตามวิถีทางที่ควรจะเป็น แต่ก็อีกนั่นแหละ ฉันไม่รู้เลย ทางไหนคือวิถีที่ควรจะเป็น?

หวังเพียงว่าเมื่อถึงเวลาเหมาะสมฉันคงรู้คำตอบทั้งหมด


รักและคิดถึง
เด็กสาวบนดาวสีน้ำเงิน
หน้าร้อน ปลายเมษาฯ ๒๕๕๒



๏ เปิดหนังสือบางหน้าขึ้นมาอ่าน
ถึงตำนานกุหลาบแดงใจแหว่งวิ่น
ก่อนหน้านั้นเจ้าสวยแสนทั่วแดนดิน
มาแดดิ้นวิ่นแหว่งสิ้นแรงโรย



อะไรหนอทำดวงใจเจ้าล้าอ่อน
จนทอดถอนดวงใจให้แห้งโหย
หรือสายลมกรูสะพัดระบัดโบย
จนกลีบโรยร่วงรานเกลื่อนลานภู


หรืเจ้าล้าเพราะเชิงผาตระหง่านง้ำ
ทิ้งรอยช้ำบนกลีบบางช่างอดสู
หรือน้ำค้างหนักหน่วงมาร่วงพรู
เจ้าจึงดูแหว่งวิ่นเจียนสิ้นใจ


อาจบางดาวไม่ยอแสงสิ้นแรงหวัง
อาจราวไพรเผลอพลั้งดั่งหยุดไหว
อาจสายลมหยุดพัดระบัดไพร
หรือธารห้วยหยุดไหลในบัดดล



เถิดอะไรจะทำให้เจ้าร้าว
ตะวันพราวยังสาดแสงทุกแห่งหน
หากกลีบเจ้าโรยร่วงเกินหน่วงทน
โปรดยินยลคำรัก...จากตะวัน.


"...รัก

รัก


รัก

...ใครไม่รัก ก็ยัง...


รัก


รัก

รัก


...และ... รัก..."


วาระปะฝีกลอนท่านคั่นฯ ใน 'ให้รักเรา'


๏ เบื่อ...ทุกเวลานาทีที่ล่วงผ่าน
แสนเกียจคร้านมากมายกระไรนี่
นอนแถกไปแถกมาประดามี
คล้ายชีวีไม่รู้เห็นความเป็นไป

เบื่อ...ทุกเรื่องราวเข้ามาสู่
มันหดหู่ห้วงฤดีจะมีไหน
มาเปรียบเทียบเปรียบเปรยเย้ยหยันใจ
มองอะไรก็หดหู่เกินสู้ทน

เบื่อ...หนังสือหนังหาสรรมาอ่าน
เพียงเปิดผ่านแล้วปิดวางอย่างไม่สน
ตัวอักษรผ่านตาเพียงผ่านพ้น
ต้องจำนนนอนซบหน้าปิดตาซึม

เบื่อ...ทีวีมีรายการไร้สาระ
สะระตะข่าวคาวฉาวกระหึ่ม
ขุดคุ้ยแหลกไม่แยกแยะอยู่โจ๋งครึ่ม
นอนอกตรึมปิดหน้าตรมอารมณ์เซ็ง!

เบื่อ...เกมคอมพิวเตอร์ เฮ้อ...เบื่อหน่าย
เบื่อเหลือหลายเล่นอะไรไม่เหมาะเหม็ง
เล่นกี่ทีมีแต่แพ้ ไอ้เส็งเคร็ง
ตูละเซ็ง เซ็ง เซ็ง เซ็ง เซ็งมันเลย..

เบื่อ...วิทยุรายการเพลง
เปิดบรรเลงแต่เพลงรักอยู่นั่นเหวย
คนไม่มีคนรักให้อิงเอย
อยากจะเผยความใน ใจล่ะเบื่อ

หยิบกระดาษปากกาขึ้นขีดเขียน
หวังหมั่นเพียรในทักษะก็ฝืดเฝือ
ร้อยอักษรบทกวีไปพร่ำเพรื่อ
เฮ้อ.....มันน่าเบื่อ......เบื่อจริงโว้ยยยยยยยยยย!!!

สวัสดีเธอผู้อยู่แดนไกล

แปลกใจมากไหม? ที่อยู่ดีๆเธอก็ได้รับจดหมายฉบับนี้ ความจริงฉันใคร่ครวญอยู่นานเหมือนกันว่าจะเขียนถึงเธอดีหรือเปล่า ระหว่างชั่งใจอยู่นั้น พลันดินสอในมือขยับเดินทางเป็นตัวอักษร

มาถึงบรรทัดนี้เธอคงเข้าใจแล้วสินะ ฉันไม่ได้เขียนจากการตัดสินใจของฉันเอง แต่เป็นจิตใต้สำนึกต่างหากที่ชักนำดินสอในมือให้เคลื่อนไหว

ระหว่างเขียนอยู่นี้ฉันไม่มั่นใจเลยว่าเธอจะได้อ่านมันหรือเปล่า ฉันรู้เพียงว่าฉันต้องเขียน เขียน และเขียน เขียนจนกระทั่งปลายดินสอเดินทางไปถึงอักษรตัวสุดท้าย ฉันก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ อักษรตัวสุดท้ายอยู่ตรงไหน แต่ฉันคิดว่าเมื่อมันโผล่มา ฉันคงรู้

จดหมายฉบับแรก ฉันควรคุยกับเธอด้วยเรื่องอะไรดีนะ?

ความจริงแล้วฉันตื่นเต้นมากเลยล่ะเมื่อตัดสินใจว่าจะเขียนจดหมายมาหาเธอ จนไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี ก็นานมากแล้วนี่ที่ฉันไม่เคยเขียนอะไรแบบนี้ จดหมายฉบับสุดท้ายที่มาจากลายมือของฉันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ฉันยังนึกไม่ออกเลย ...แต่น่าแปลกจังที่ฉันยังสัมผัสได้ถึงความสุขซึ่งอวลอยู่ในจดหมายทุกฉบับที่ได้รับ มันอุ่นซ่านไปด้วยมนต์ประหลาดที่ฉุดดึงให้ฉันดำดิ่งไปสู่โลกอีกใบ น่าพิสมัยและแสนรื่นรมย์จนฉันยังนึกฉงนว่าตัวอักษรเพียงหน้ากระดาษสามารถเนรมิตโลกได้สวยซึ้งถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

บางทีอาจไม่เพียงตัวอักษรที่สร้างโลกใบนั้น แต่อาจรวมถึงองค์ประกอบอื่นบางอย่างซึ่งฉันไม่แน่ใจ อาจเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แผ่วมาจากเนื้อกระดาษเหมือนมันถูกฉาบเคลือบไว้ในทุกอณูเนื้ออักษร หรืออาจเป็นลายเส้นพลิ้วไหวของกลีบดอกไม้ หรือบางทีอาจเป็นเส้นสายที่ประกอบเป็นรูปร่างของใครสักคนซึ่งประทับลงบนเนื้อกระดาษนั้น งดงามราวมีชีวิตอยู่ในโลกฝัน ฉันมักดิ่งภวังค์ทุกครั้งที่หยิบจดหมายขึ้นมาเปิดอ่าน ไม่ว่าจะเป็นจดหมายฉบับใดก็ตาม และไม่ว่าฉบับนั้นจะผ่านการอ่านมาแล้วกี่ครั้งความรู้สึกไม่เคยต่างกันเลย

ตลกไหมที่เราหวนหาอดีตขณะปัจจุบันพรากมันไปลิบตา ทุกสิ่งที่ระลึกได้เป็นเพียงตะกอนผลึกซึ่งตกค้างอยู่ในความทรงจำที่ไม่อาจบิดเบือน ทำลาย หรือลบล้างลงได้

ฉันคิดว่าเธอคงมีความทรงจำในหลายเรื่องราว ทั้งที่ดีและ/หรืออาจไม่ค่อยจะดี ฉันไม่อยากเรียกมันว่า ‘ความทรงจำเลวร้าย’ เพราะดูเหมือนจะโหดร้ายและอยุติธรรมเกินไปหากจะประณามกันแบบนั้น ความทรงจำทรงทั้งมวล -ไม่สิ ไม่ใช่เพียงแค่ความทรงจำหรอก ต้องบอกว่าทุกสิ่งอย่างทั้งมวลที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ล้วนหล่อหลอมมาเป็นเราในวันนี้ เรื่องราวดีๆ ประกอบมาเป็นเราที่งดงาม เรื่องราวไม่ดีทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น และพร้อมจะเผชิญกับเรื่องราวไม่ดีที่จะมาทักทายเราอีกในอนาคตได้อย่างไม่หวั่นเกรง

แต่ก็แน่ล่ะ ใครกันจะอยากเก็บเรื่องไม่ดีเอาไว้ บางทีมันก็เป็นเหตุสุดวิสัยที่เรื่องราวแย่ๆ ยังเกาะติดหนึบอยู่ในความทรงจำอยู่ชั่วนาตาปี ...ยังไงเสีย ความทรงจำก็เป็นเพียงความทรงจำ จะดีหรือไม่ดี เรื่องราวเหล่านั้นก็ผ่านพ้นไปแล้ว เหลือเพียงร่องรอยเท่านั้นที่ทิ้งไว้บอกให้รู้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยผ่านมา

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถิด ทำไมนะ ยามฉันคิดถึงเรื่องราวดีๆความโหยหาถึงได้โอบล้อมฉันไว้ มันซาบซ่าน พร้อมกันนั้นก็บีบคั้นความรู้สึกให้ต้องจำนน ฉันอยากเรียกมันว่า ‘ความซาบซ่านอันแสนอาดูร’ เธอเคยรู้สึกเหมือนอย่างที่ฉันรู้สึกหรือเปล่านะ? เธอจะโหยหาบางอย่างเหมือนอย่างที่ฉันโหยหาหรือเปล่า? หรือมีเพียงฉันคนเดียวที่โหยหาอยู่เช่นนี้ ---ช่างเถิด.... มันไม่สำคัญหรอกว่าจะมีใครรู้สึกเหมือนฉันบ้าง มันสำคัญตรงที่ฉันรู้สึกอย่างไร และฉันพยายามจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไรต่างหาก

เห็นไหมล่ะ? ฉันตื่นเต้นจนเอาเรื่องอะไรก็ไม่รู้มาพูดคุย แต่ยังไงฉันก็ดีใจนะที่ได้เขียนจดหมายมาหาเธอ และหวังว่าเธอจะมีความสุขเมื่ออ่านจดหมายฉบับนี้เหมือนอย่างที่ฉันเคยมีความสุขกับจดหมายทุกฉบับของฉัน แล้วฉันจะเขียนจดหมายมาหาเธออีก


ดีใจที่เราได้รู้จักกัน
เด็กสาวจากดาวสีน้ำเงิน
เมษาฯ ๒๕๕๒




๏ โอบกอดความเหงาอยู่เปล่าดาย
ขับเคี่ยวความงมงายเหมือนไร้ผล
กอดซับรับรสกรดกร่น
จมปลักวังวนจินตนา

โอบกอดความเศร้าซุกเงาหลืบ
ปล่อยใจสานสืบปรารถนา
ปลดเปลื้องวิญญาณผ่านมรรคา
เหลือรอยเวทนาในเงาใจ

โอบกอดความเดียวดายโดยดายเดียว
ในความเปล่าเปลี่ยวและหวั่นไหว
ซุกซ่อนอารมณ์ข่มไว้
โหยไห้อันใดปลอบประโลม

จองจำดวงใจในวิถี
รุมสุมอัคคีถั่งโถม
แผดเผารุ่มร้อนรันโรม
หวังใดบรรโลมให้บรรเทา

รอยบาปกำซาบอาบจิต
ล่องนาวาชีวิตอับเฉา
สำนึกสึกกร่อนแหว่งเว้า
ร้อนเร่าเคล้าคลุกราคี

เลอะเลือนในห้วงความคิด
เสพติดตัณหาเปรมปรี่
มัวเมาเริงร่านสามานย์อัปรีย์
ถมถ่อยธุลีเลี้ยงวิญญาณ์

ดวงใจดวงจิตหมองไหม้
ท่ามทางฝันใฝ่แสวงหา
ท่ามทางดุ่มด้นผ่านพ้นมา
ทิ้งรอยเวทนาหว่างซอกใจ

ลึกสุด ณ ห้วงสำนึก
ตะกอนผลึกโหยไห้
ระงมกรีดร่ำอยู่รำไป
ทุกเสี้ยวหายใจในชีวิต!




เจ้าเอย..เจ้าดอกไมตรี
เจ้าแย้มบานได้ทุกที่
ดอกไมตรีช่างงามสดใส

เจ้าเอย..เจ้าดอกรัก
ยิ่งเบ่งบานยิ่งตระหนัก
ว่ากลิ่นดอกรักช่างยวนยั่วใจ

เจ้าเอย..เจ้าสายสวาท
ตัดเยื่อตัดใยไม่เคยขาด
โอ้สายสวาทช่างบาดดวงใจ

เจ้าเอย..เจ้าสายลม
ยามเจ้ารำเพยผ่านพรม
วานฝากใจลอยลมไปถึงคนไกล

เจ้าเอย..เจ้าสายฝน
ยามเจ้าร่วงหล่น
ช่วยขับกล่อมใครบางคนด้วยมนต์เพลงฝนได้ไหม?


"มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง
เมื่อยามสองเราต้องจากไกล
พาดวงใจเลื่อนลอยฝากบทเพลงบรรเลงให้ไว้
..เธอโปรดเก็บใจเอา..ไว้เพื่อรอ..

ฝากคำว่าคิดถึง..ให้เธออยู่เสมอ
แม้ไม่ได้เจอฉันก็สุขใจ
หากชีวิตไม่สิ้น ฉันจะกลับเอารักมาให้
เธอโปรดจำไว้วันที่ฉันรอ...

..เธอโปรดเก็บใจ..เอาไว้เพื่อรอ.."*



* เพลง รอวันฉันรักเธอ