๏ บทรักหวานชวนชื่นในคืนหนาว
กับเดือนดาวพราวพร่างกระจ่างฝัน
หอมรวยรินกลิ่นบุปผาลดาวัลย์
ลมรำพันรื่นโรยมาโชยชาย


ท่ามเหินหาวดาวดื่นนับหมื่นแสน
อุ่นอ้อมแขนพิลาสอันมาดหมาย
เคียงสู่ฝันในนิรันดร์อันพริบพราย
อุ่นไอรักอ้อมกาย สบสายตา


ถ้อยกระซิบแว่วหวานกังวานซึ้ง
สบตราตรึงพิศวาส ปรารถนา
รัญจวนรักทักถามหวามอุรา
ท่ามนาวาเพ็ญเพียงร่วมเรียงใจ


เดือนเด่นดวงหวงแหนดินแดนฝัน
เฝ้ารำพันพร่ำพรอดเคียงกอดใกล้
ตราบห้วงยามหวามทรวงเลยล่วงไป
สบซึ้งนัยดวงตาด้วยอาวรณ์


ก่อนจะย่างสู่ทิวาอุษาเยือน
ไม่ลืมเลือนฝากใจไว้ใต้หมอน
ให้รักห่มล้อมกายได้แนบนอน
ในอ้อมอุ่นอาทรนิทรารมย์


กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าอุษาสมัย
พลันดวงใจรุ่มร้าวราวอกขม
บทรักหวานชวนชื่นในคืนตรม
สุดระทมจริงแท้...แค่ฝันไปฯ


สวัสดีเพื่อนต่างดาวของฉัน

เธอเป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า ฉันห่างหายไปช่วงหนึ่งเธอจะคิดถึงฉันบ้างไหม แต่ไม่แปลกหรอกหากเธอจะมีเรื่องราวให้คิดให้กระทำมากมาย จนไม่มีเวลามาใส่ใจว่ามีใครบ้างห่างหายจนลืมเลือนไปในความคิดเธอ เพราะฉันก็เคยเป็นแบบนั้นบ่อยๆ

เธอจะว่าอะไรไหม? ถ้าฉันจะบอกว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาฉันไม่ได้คิดถึงเธอเลย ก็ฉันมีเรื่องโน้นให้คิด มีเรื่องนี้ให้ทำไม่จบไม่สิ้นจนไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องอื่นนอกเหนือเรื่องราวที่อยู่เบื้องหน้านะสิ

แต่ยังไงฉันก็ไม่เคยลืมเธอหรอกนะ นี่ไง ฉันส่งจดหมายมาหาเธอแล้ว ยืนยันว่าเธอจะอยู่ในความคิดคำนึงของฉันเสมอเมื่อฉันว่างจากเรื่องราวมากมายที่รายล้อม

เปล่าเลย ฉันไม่ได้จัดเธอไว้ในความคิดถึงลำดับสุดท้าย เพียงแต่ฉันวางเธอไว้ในความคิดถึงที่สวยงามจนไม่อาจแตะต้องให้เธอต้องแปดเปื้อนเมื่อปัญหาต่างๆ ยังรกสมอง

และเมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแล้วนั่นแหละ หลายสิ่งหลายอย่างที่ซุกตัวหลืบเร้นอยู่ในห้วงคำนึง จึงได้สำแดงตัวตนออกมา หนึ่งในนั้นคือเธอที่แจ่มกระจ่างอยู่ในมโนภาพ

ฉันจับกระดาษดินสอขึ้นขีดเขียนตัวอักษรถึงเธอ เพื่อให้ตัวอักษรเดินทางมาหาเธอพร้อมๆกับความคิดถึง ให้เธอได้สัมผัสมันด้วยสายตาด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ความคิดถึงฝากสายลมแสงแดดไปเพียงเดียวดาย เพราะฉันไม่มั่นใจว่าสายลมจะพัดพามันมาถึงเธอหรือเปล่า

วันเวลาที่ฉันห่างหาย รวมกับเรื่องราวมากมายที่เข้ามา ทำให้ฉันเติบโตขึ้น เหมือนหนอนแก้วที่กระดึ๊บตัวออกจากเปลืองไข่มามองดูโลกกว้าง หาใช่สิ่งมีชีวิตน้อยๆที่เอาแต่ซุกกายอยู่ในเปลือกแข็งๆให้ความไร้เดียงสาห่อหุ้มเหมือนเก่า

ฉันอาจต้องเติบโตให้มากกว่านี้เพื่อโผบินไปในโลกกว้างด้วยสองปีกแข็งแรงของฉันเอง แต่การเติบโตที่ผ่านมาก็บอกให้รู้ว่า ฉันเข้าใกล้ความเป็นผีเสื้อเข้ามาอีกนิดนึงแล้ว

หวังว่าเธอและฉันจะเติบโตไปด้วยกัน


รักและคิดถึง
เพื่อนเธอบนดาวสีน้ำเงิน
ต้นฤดูฝน

ฟ้าเบื้องบนมืดทะมึนด้วยเมฆฝน ฉันเร่งฝีเท้าออกนอกอาคารขณะที่ความคิดจดจ่อกับโทรศัพท์ในมือ ภาวนาให้ปลายสายตอบรับเสียทีแทนที่จะเป็นเพียงสัญญาณรุมเร้าจิตใจอย่างที่เป็นอยู่ สองข้างทางผู้คนจับกลุ่มพูดคุยเป็นระยะ ฉันไม่สนใจว่าจะมีใครหันมามองบ้าง และไม่สนใจแม้แต่จะยิ้มตอบรอยยิ้มมิตรภาพที่ทักทายมา มันไม่ดีเลยกับการกระทำแบบนี้ แต่อารมณ์ที่กำลังประสบทำให้ฉันไม่อยากใส่ใจกับเรื่องรอบตัวเลยจริงๆ

สัญญาณปลายสายดับไปแล้ว ฉันกดโทรออกเบอร์เดิมอีกครั้งโดยไม่เสียเวลาหยุดคิด ไม่กี่อึดใจก็ได้ยินเสียงที่รอคอย

“กำลังนั่งรออยู่”

ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ผ่านมาตามสาย ทำให้ฉันเหลียวมองรอบตัว

...ใช่...เขานั่งรออยู่...ตรงนั้น...คนเดียว...

เพียงแวบแรกที่เห็น ก้อนความรู้สึกต่างๆขึ้นมาจุกตรงลำคอ ขอบตาร้อนผ่าว ท้องฟ้าอึมครึมภายนอกไม่เท่ากับความมืดครึ้มในใจฉันขณะนี้

อะไรกันที่ทำให้เขามา?

แน่ละ อันดับแรกคือความผิดพลาดในการสื่อสาร แต่สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในนั้นคือความผูกพัน ห่วงใย ใช่ไหม?

นานทีเดียวกว่าฉันจะข่มความรู้สึก ก้าวเท้าเข้าไปหาเขา

สองสามประโยคแรกของการเริ่มต้นสนทนาฉันต้องเสมองไปทางอื่น เพียงเพราะฉันไม่กล้าพอจะมองเห็นความผิดหวังในแววตาคู่นั้น แต่เพียงแวบเดียวที่ปัดสายตาผ่าน ฉันกลับมองเห็น และความรู้สึกที่ข่มไว้เมื่อครู่ก็ถั่งโถมเข้ามาอีกระลอก หนักหนาสาหัสกว่ามากมายนักจนฉันแทบรั้งน้ำตาไว้ไม่ไหว จำต้องเปลี่ยนเรื่องและแสร้งยิ้มกลบความรู้สึก ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ารอยยิ้มนั้นมันฝืดเฝือสิ้นดี

เกือบครึ่งชั่วโมงที่เรานั่งคุยกัน มันน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับความรู้สึกที่อยากชดเชยให้เขา แต่ความห่วงใยในอีกคนซึ่งรออยู่เบื้องหลังทำให้ฉันไม่สามารถยืดเวลาออกไปได้อีก

เราแยกกันเมื่อเมฆฝนตั้งเค้าเมื่อครู่เริ่มสลายตัวพร้อมกับแสงแดดอ่อนๆทอลอดลงมา แต่ในใจฉันกลับเยียบเย็นจนลำแสงอ่อนอุ่นนั้นไม่สามารถทอผ่านเข้าไปคลี่คลายได้เลย

เดินแยกมาได้ระยะหนึ่ง ฉันหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง แล้วน้ำตาหยดแรกก็รินไหล

ไม่นานหรอกเราจะพบกันอีก ในความรู้สึกงดงามกว่านี้...อีกไม่นาน...

๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒
๑๖.๓๐ น.

ข้างนอกฝนยังตกพรำๆ ได้ยินเสียงฟ้าร้องเป็นระยะสลับด้วยฟ้าแลบแปลบปลาบ คืนนี้อากาศคงเย็นสบายหลังจากที่ร้อนมาหลายคืน

ฝนตกมากว่าชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่ฉันยังอยู่ที่ทำงาน ทันทีที่รู้ว่าฝนตกฉันยิ้มออกมาพร้อมด้วยประโยค
“ดีจัง คืนนี้ต้องนอนหลับสบายแน่เลย”
“ก่อนจะบอกว่าดีจัง มาคิดกันก่อนดีกว่ามั้ยว่าจะกลับยังไง?” เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งขัดขึ้น แต่ฉันไม่ได้กังวลเรื่องนั้น ขอแค่ฝนตก จะกลับที่พักยังไงไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องขบคิด ฉันยินดีเดินไปท่ามสายฝนกระหน่ำด้วยความสุขใจ

โชคดีที่เรามีร่มสองคันสำหรับสี่คน แน่นอน ฉันต้องคู่กับเพื่อนรัก เราเดินไปพร้อมพูดคุยแข่งเสียงสายฝน ร่มคันน้อยไม่เพียงพอสำหรับการเบียดกายของสองคน ฉันเปียกครึ่งนึงเธอเปียกครึ่งนึงแต่ไม่มีใครอนาทร

ฉันแวะส่งเธอที่ป้ายรถเมล์เหมือนเช่นทุกครั้ง บอกให้เธอเป็นคนเอาร่มไป แต่เธอปฏิเสธไม่มีเหตุผลใดมากไปกว่าเธอเป็นห่วงฉันเท่ากับที่ฉันเป็นห่วงเธอ

หลังจากเธอขึ้นรถเมล์ไปแล้วฉันจึงผลุบเข้าอพาร์ตเม้นต์ กระเป๋าสะพายโดนฝนจนเปียกโชกไปทั้งใบในนั้นมีหนังสือที่เพิ่งซื้อมาเมื่อสามวันก่อนอยู่ด้วย แม้กระเป๋าจะเป็นแบบกันน้ำแต่ก็อดห่วงหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ เริ่มหายใจโล่งขึ้นเมื่อเปิดดูภายในพบว่าข้าวของทุกอย่างยังปกติดีอยู่

จัดการเททุกอย่างในกระเป๋าออกมา เช็ดจนแห้งดีจึงผึ่งพัดลมไว้อีกที กับกระเป๋าใบโปรดฉันต้องทะนุถนอมอย่างดีที่สุด

อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ตรวจดูกระเป๋าอีกครั้งเมื่อมั่นใจว่าแห้งสนิทจึงเก็บข้าวของใส่ไว้เหมือนเดิม ก่อนจะคว้าสมุดดินสอมาเอนตัวลงนอนยังที่ของตน อยากเขียนอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้จะเขียนอะไรดี ตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อกลางวันว่าก่อนนอนคืนนี้จะเขียนเรื่องสั้น แต่เสียงฟ้าร้องครืนๆข้างนอกทำให้ฉันไม่กล้าเปิดคอมพิวเตอร์ และถึงแม้จะเปิดได้จริงๆ ก็ยังไม่รู้ว่าจะกลั่นประโยคแรกออกมาได้หรือเปล่า หลายสิ่งหลายอย่างพิสูจน์มาแล้ว ในความคิดทุกอย่างง่ายเสมอ ลงมือกระทำนั่นสิยากแสนยาก และน้อยเท่าน้อยที่จะได้ดั่งใจวาดหวัง ...แต่ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

นึกอยากเขียนกลอนอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเค้นวรรคแรกมาแล้วทั้งวันกลับไม่ได้อะไร ก็ไม่รู้จะเอาวรรคต่อไปมาจากไหน

จดๆจ้องๆจะเขียนจดหมายไปหาเพื่อนแดนไกล กลับไม่มีเรื่องอะไรจะเล่า ก็ได้แต่จดๆจ้องๆอยู่อย่างนั้น

และเมื่อเขียนเรื่องสั้นไม่ได้ เขียนกลอนไม่ออกไม่มีอะไรจะเล่าในจดหมายให้เพื่อนแดนไกลได้รับรู้ แต่อารมณ์อยากเขียนยังไม่ผ่อนคลายก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าบันทึกสักหน้ากระดาษ

นานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันไม่ได้เขียนบันทึกอารมณ์ความรู้สึกหรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ไม่อยากจะนึกย้อนเพื่อตอกย้ำความไร้วินัยของตนเอง หลายครั้งที่คิดว่าฉันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ก็อีกนั่นแหละเมื่อไม่ได้กระทำจะเอาสิ่งดีนั้นมาจากไหน

หลายครั้งอีกเหมือนกันที่ฉันเริ่มต้น แต่ไม่มีก้าวต่อติดตามมา สุดท้ายสิ่งเหล่านั้นจึงเคว้งคว้างไร้แก่นสาร หวังว่าบันทึกฉบับนี้จะไม่เป็นอย่างนั้น ขอเถิดนะ ให้ครั้งใดก็ตามที่ฉันกลับมาอ่านบันทึกฉบับนี้ ความรู้สึกขณะเขียนจะยังคงอวลอยู่ในทุกตัวอักษรไม่สร่างซา

นอกระเบียงฝนหยุดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เลย แต่เมื่อก่อนนอนได้ฟังเพลงสายฝนแบบนี้ คืนนี้ฉันคงนอนหลับฝันดี

ราตรีสวัสดิ์
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒
๐๐.๔๐ น.


๏ เจ้าค้นหาสิ่งใดเล่าในชีวิต
ท่ามถูกผิดก้าวย่างทางแสวง
ท่ามคืนวันฟันฝ่าอ่อนล้าแรง
เจ้าเผยแจ้งสิ่งใดแก่ใจตน

ถามใจเจ้าแล้วหรือไม่ ให้รับรู้
ท่ามเป็นอยู่เลือนรางกับบางหน
บางสิ่งเร้นลึกล้ำอำพรางตน
คอยเจ้าค้นห้วงใจ ได้พบเจอ

กับบางสิ่งค้นถามนิยามความหมาย
เหมือนคลับคล้ายย้อนนิยามความพลั้งเผลอ
บางสิ่งหวังงดงามความเลิศเลอ
ท้ายที่สุดเพียงเพ้อละเมอครวญ

ค้นไปเถิดค้นหาทุกหนแห่ง
ทั่วถ้วนแหล่งหฤหรรษ์ผ่านเสียงสรวล
ทั่วทุกหย่อมรอนรานในร้าวรวน
ทั่วทุกเสียงโหยหวนครวญระงม

ค้นในความสุขสันต์เจ้าปั้นแต่ง
ค้นในรอยขัดแย้งความขื่นขม
ค้นเถิดใจค้นหาตามอารมณ์
เจ้าคงเจอตรอมตรมสักซอกใจ

เจ้าปรารถนาสิ่งใดเล่าในชีวิต
กับห้วงยามความคิดอันฝันใฝ่
บางสิ่งหวังยังย้อนซ่อนความนัย
ตามรายทางดวงใจในอาดูร

ปรารถนาเจ้าแรงกล้าไม่ล้าอ่อน
ไม่แผ่วผ่อนตราบชีวิตไม่สิ้นสูญ
ความอยากเจ้ามีแต่เติมมาเพิ่มพูน
ยังแต่ซากปฏิกูลท่วมท้นใจ

ปรารถนาไปเถิดอย่าได้หยุด
ให้ที่สุดกำซาบซึ้งถึงโหยไห้
ปรารถนาให้สุดห้วงของดวงใจ
เริงระบำฟอนไฟไปตามกาล

ท่ามคืนวันหรรษาในหล้าโลก
อาจเสียงโศกเตรียมสดับกล่อมขับขาน
ในเสียงก้องสรวลสันต์อันกังวาน
อาจยาวนานเสียงเศร้าเคล้าทำนอง

เจ้าได้รับสิ่งใดในที่สุด
เมื่อดวงใจพิศุทธิ์เจ้ามัวหมอง
หลงโง่งมมัวเมาเร้าคะนอง
ใจจำจองในบ่วงกามทรามโลกีย์ฯ

สวัสดีเพื่อนต่างดาวของฉัน

วันนี้รู้สึกไม่สบายใจเลย มันหวิวๆ หวั่นๆ นั่งอยู่เฉยๆ ก็อยากร้องไห้ เหมือนฉันกำลังเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่ไม่มีจุดบรรจบของพื้นดินอย่างเดียวดาย ไม่ว่าจะนึกถึงใครที่เคยคิดว่าพึ่งพาพักพิงได้ทุกครั้งเมื่อต้องการ ความรู้สึกภายในกลับผลักไสคนเหล่านั้นออกไปไกลจากความรักความโหยหา ยิ่งคิดถึงคนที่รักและผูกพันมากเท่าไหร่ฉันยิ่งเคว้งคว้างและเดียวดายมากเท่านั้น

ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากฟังเสียง อยากพูดคุย อยากรับรู้ว่าใครบางคนสุขสบายดี ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม สมองสรรหาคำพูดมากมาย แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงปลายสายฉันกลับนั่งบื้อพูดไม่ออก ประโยคแรกออกจากปากเมื่อน้ำตาไหลนองสองแก้ม ฉันไม่ได้ร้องไห้หรอกนะ น้ำตามันไหลมาเองต่างหาก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำมันไหลออกมาตอนไหน มารู้ตัวอีกทีเมื่อสัมผัสได้ถึงรสเค็มฝืดเฝื่อนที่ปลายลิ้นนั่นแหละ

คุยได้ไม่กี่ประโยคก็ต้องรีบวางสายเพราะหากฝืนคุยนานกว่านั้นฉันคงไม่ไหว กดตัดสายไปแล้วประโยคที่ตั้งใจดิบดีอยากพูดจริงๆกลับเพิ่งหลุดออกมา

“...คิดถึงแม่จัง...”

ขณะนั่งทำงานอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ผู้คนมากมายเดินผ่านหน้า ทั้งที่ไม่คุ้นชิน แค่คุ้นหน้า หรืออาจคุ้นเคย ความรู้สึกไม่ต่างกันเลย เขาเหล่านั้นล้วนเป็นคนอื่นไกล ฉันกำลังแปลกแยกและแตกต่าง เหมือนเราหมุนอยู่คนละวงโคจร วงโคจรแรกมีผู้คนมากมายเหล่านั้น ส่วนอีกวงโคจรมีเพียงฉันเดียวดาย

อยากกลับไปนอนซุกกายเงียบๆ ไม่ขยับเขยื้อน นอนอย่างนั้นเฉยๆจนความรู้สึกต่างๆเดินทางผ่านพ้น เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา ซุกกายอยู่ในมุมแคบๆล่องลอยไปในโลกสีหม่น ถึงวินาทีสุดท้ายตื่นขึ้นมาพบโลกใบเดิมด้วยตัวฉันคนเดิม

ฉันนั่งมองตัวอักษรที่เคยบรรจงปั้นแต่ง ผ่านหน้าแล้วหน้าเล่าด้วยสมองขาวโพลนทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยชื่นชมมันนักหนา ไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆ ให้สัมผัส ไม่มีแม้คำถาม คำตอบว่าทำไม? เพราะอะไร?

เปิดดูจดหมายของเธอที่เขียนถึงฉันเมื่อวันก่อน ริมฝีปากฉันยิ้มแต่น้ำตาฉันไหล ฉันไม่ได้ยิ้มให้กับเนื้อหาในจดหมายนั้น ฉันไม่ได้อ่านมันด้วยซ้ำ ที่ยิ้มเพราะฉันเห็นตัวอักษรของเธอ บอกไม่ถูกหรอกว่า ดีใจ เสียใจ มีความสุข ความเศร้า หรืออารมณ์ไหนกันแน่ แค่เห็นตัวอักษรของเธอฉันก็ยิ้มได้แล้ว แต่ฉันไม่รู้ทำไมน้ำตาต้องไหล และก็อีกนั่นแหละ นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันร้องไห้

ไม่รู้ฉันเป็นอะไรในความโหวงเหวงที่โอบกอด ไม่รู้อีกเหมือนกันฝ่ายใดโอบกอดฝ่ายใดไว้กันแน่ อาจเป็นฉันที่ฉุดรั้งความรู้สึกนั้นไว้ เพียงเพราะอยากรู้มันจะไปสิ้นสุดปลายทางที่ใด ลึกๆ แล้วฉันคงอยากสัมผัสให้สุดซึ้งถึงอารมณ์ที่กำลังประสบอยู่นี้

เธอไม่ต้องใส่ใจอะไรหรอก ฉันเพียงอยากเขียนอะไรเรื่อยเปื่อย


ผู้สับสนบนทางอ้างว้าง
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒

๏ รอนรอนตะวันโอ้........................อัสดง
รอนม่านเมฆาลง........................เลื่อมฟ้า
รอนลับมืดดับดง...........พงพฤกษ์ แดนไพร
รอนรอนราวใจข้า............สิ้นลับ ดับรอน ฯ

๏ รอนรอนตะวันลับ.....................สิ้นแสงดับกับอัสดง
ลบเหลี่ยมเมฆาลง.............พงไพรพฤกษ์ลึกเลื่อมเงา

มองไหนให้มืดมิด..................ทั่วทุกทิศมิดม่านเหงา
สะทกโอ้อกเรา.........................ยามไร้เจ้าเฝ้าเจรจา

เห็นนกวิหกบิน.........................หวนคืนถิ่นบินลัดฟ้า
ถวิลเจ้าจินดา...........................ไม่หวนมาหาเห็นกัน

เย็นลมเคยพรมผ่าน...........พลิ้วแผ่วหวานล่วงวารวัน
ลมนุชหยุดพัดพลัน................อยู่ไหนกันหนอสายลม

ยินแว่วเรไรหรีด..................เจ็บราวมีดกรายกรีดคม
ปร่าปวดรวดร้าวจม..................ระทมทุกข์ทุกวันคืน

หนาวฟ้าหนาวค่ำฟ้า............นานเหน็บล้ากว่ากายฝืน
ระกำสุดกล้ำกลืน...........................กี่ค่ำคืนจะคืนมา

มองดาวพริบพราวส่อง...........พร่างดาวผ่องนองนภา
ดาวเห็นเด่นดารา...........................หาไม่มีธุลีดาว

ดึกเดือนเลือนเมฆเหงา..........ลับม่านเนาเงาค่ำคราว
หวังใจไม่ลืมคร่าว.............ดั่งจันทร์เจ้าเฝ้าเลือนดวง

จะคอยแม้คล้อยค่ำ...........ดึกน้ำค้างพร่างหนาวหน่วง
หนึ่งใจใช่คำลวง.......................กี่เลยล่วงก็จะคอย

@ เรไรร่อนร้อง : จะคอย โดย ธุลีดิน