สหายที่รักยิ่ง

ฤดูหนาวมาเยือนดาวสีน้ำเงินอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่ใช่แค่ผ่านมาชิมลางเหมือนอย่างคราวก่อน อากาศหนาวทำให้โรคขี้เกียจกำเริบ แถมโรคกลัวน้ำยังสำแดงอาการแทรกซ้อนเข้าอีก ฉันต้องกลั้นใจวิ่งผ่านฝักบัววันละหน เสร็จแล้วก็มานั่งคางสั่นฮักๆ กอดผ้าห่มอยู่บนเตียง หลังๆ มานี้ ก่อนออกไปทำงานเพื่อนร่วมห้องจึงมักหันมาสั่ง “อย่าลืมอาบน้ำล่ะ” แต่ทีตัวเองแปรงฟันอย่างเดียวตะลอนไปได้ถึงไหนต่อไหน ไม่เห็นว่าอะไรสักคำ

เพื่อนต่างดาวจ๋า ถึงฉันไม่ค่อยอาบน้ำเธอก็อย่าหาว่าฉันซกมกนะ ฉันเพียงคิดว่า ฤดูหนาวบางทีเราอาจช่วยดวงดาวของเราประหยัดน้ำประปาได้มากขึ้น

สามสี่วันก่อน สหายคนหนึ่งโทรมาชวนไปออกกำลังกายแต่เช้า ด้วยเหตุผล ‘ฟิตร่างกายสู้ลมหนาว’ ฉันว่าก็เข้าท่าดี จึงรีบแจ้นไปตั้งแต่ไก่โห่ (อ้อ...เธอคงไม่รู้ว่าเมื่อก่อนไก่บ้านฉันมันชอบโห่ตอนสาย แต่เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนนิสัยมาโห่เร็วขึ้นหน่อยนึงแล้วล่ะ) นึกดูเล่นๆ ก็ไม่อาจจำได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้ออกไปจ็อกกิ้งตอนเช้าแบบนี้ แค่ได้เดินดูอะไรไปเรื่อยๆ กลับพบว่าร่างกายสดชื่นขึ้นมากมาย

ถึงเวลาวิ่งเข้าจริงๆ ฉันวิ่งไปตามทางวิ่งได้รอบเดียวก็ต้องหยุดนั่งหอบหายใจแฮ่กๆ หมดแรงลิ้นห้อย คนชวนยังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งปร๋อรอบแล้วรอบเล่า สักพักถึงได้ตามมาสมทบที่ลานออกกำลังกายกลางแจ้ง มีทั้งเด็ก วัยรุ่น หนุ่มสาว และผู้สูงวัยชุลมุนกันอยู่มุมนี้ไม่ต่ำกว่า 20 คน

เราสลับกันเล่นเครื่องเล่นจนฉันเหนื่อยหอบ เหงื่อหยดติ๋งๆ อีกรอบ คุณป้าท่านหนึ่ง ผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ตอนเราไปถึงท่านก็วิ่งอยู่แล้ว ถึงตอนฉันพักเหนื่อยรอบสองท่านก็ยังวิ่งไม่หยุด เจ้าเพื่อนตัวดีมาสะกิดให้ดู แม้ปากมันจะพูดชื่นชมท่านยังไง แต่ฉันรู้ว่าลูกตามันกำลังถากถางฉันอยู่

‘ไงล่ะ เป็นสาวเป็นแส้ สู้คนแก่ก็ไม่ได้’

นั่นคือความคิดที่มันบอกฉันทางสายตา อย่างฉันหรือจะยอม ยิ่งคุณป้าเลิกวิ่ง เดินผ่านหน้าฉันไปในระยะไม่ถึงสองเมตร ผิวหน้างี้ตึงเปรี๊ยะ เช้งกว่าหน้าฉันอีก พลันคิดว่านั่นคือข้อดีของการออกกำลังกาย

ลูกฮึดที่โดนถากถางทางสายตา ผสานนิสัยรักสวยรักงามซึ่งมีอยู่เต็มพิกัดในตัว ไฟปรารถนาที่จะมีหน้าเด้งหุ่นเช้งกระเด๊ะเป็นสาวหมื่นปีอย่างคุณป้าท่านลุกฮือ หายเหนื่อยฉันจึงโชว์ออฟ กระหน่ำเล่นเครื่องเล่นทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างละร้อยครั้ง ตบท้ายด้วยซิตอัพแถมอีก 50 ที

ผลเป็นยังไงล่ะ?!

เช้าวันถัดมาร้าวไปทั้งตัว ได้แต่นอนแข็งอยู่บนเตียง ขยับตัวแต่ละทีน้ำตาแทบร่วง นอนดูรายการตลกจะขำก็ไม่ออก หัวเราะก็ไม่ได้ ทรมาทรกรรม

นั่นคือผลของการไม่รู้จักประมาณตน เจอเอาคราวนี้ฉันบรรลุสัจธรรมเลยล่ะ

ต้องนอนพักร่างกายอยู่สองวัน อาการร้าว ขัดยอกถึงได้ทุเลา แต่เช้าวันที่สามฉันก็ต้องปฏิเสธไม่ไปออกกำลังกายอีกครั้ง เมื่อฤดูผู้หญิงดันผ่ามากลางฤดูหนาวจะให้ทำไงได้ งานมันเข้าซะแล้ว หาหนังสือมานั่งอานเล่นแก้เซ็งตรงระเบียง จึงเพิ่งสังเกตว่าเสาอากาศรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่อยู่ตรงข้ามระเบียง มีนกมาเกาะส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันนับสิบตัว แทนที่จะได้อ่านหนังสือเช้าวันนั้นฉันเลยนั่งฟังเสียงนกจนเพลิน

ไม่รู้ป่านนี้ดาวของเธอกำลังอยู่ในฤดูไหน แต่ไม่ว่าจะยังไงก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยระวังจะไม่สบาย


ห่วงใยเสมอ
มิตรของเธอ
ดาวสีน้ำเงิน ฤดูหนาว 2552



ยอดปิยมิตร

อาทิตย์ที่ผ่านมาฉันป่วย ปวดท้องตั้งหลายวัน หวั่นอยู่ว่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ไม่อยากขึ้นเขียงไปนอนเปิดพุงให้หมอเชือดเลย แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะมันเป็นแค่อาการของโรคกระเพาะกำเริบ เล่นเอานอนไม่หลับไปตั้งสองคืนแน่ะ

ชีวิตนกน้อยในป่าคอนกรีตกว้างใหญ่ไพศาล ยามเจ็บป่วยยากจะหันหน้าหาคนพึ่งพิง โชคดีที่ฉันมีพี่สาวอยู่ใกล้ กับเพื่อนจริงใจอีกคนสองคน พอให้อุ่นใจได้ว่าไม่เดียวดาย

เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อไม่สบายใจก็อยากให้ใครสักคนมาอยู่ใกล้ๆ ใครคนนั้นที่เราจะวางใจและเชื่อมั่นเขาได้เสมอ เที่ยงคืนฉันหอบเสื้อผ้าไปนอนกับพี่สาว บอกเล่าความกังวล แค่รุ่งเช้าข่าวสารของฉันก็แพร่สะพัดไปถึงพี่น้องทุกคน ฉันนับถือการทำหน้าที่เป็นหอกระจายข่าวของเธอที่สุด เธอปฏิบัติหน้าที่ได้เฉียบขาดมาก ความเป็นห่วงเป็นใยหลั่งไหลมาสู่ฉันตลอดช่วงเช้าวันนั้น เริ่มจากแม่ ตามด้วยพี่ชายคนอื่นๆ กำลังใจดีความเจ็บป่วยก็ดูเหมือนจะทุเลาเบาบาง

เมื่อไปหาหมอและรู้ถึงสาเหตุของอาการปวด ก็เป็นพี่สาวอีกนั่นแหละที่รับข่าวจากฉันไปกระจายต่อ จากคำปลอบประโลมท่วมท้นเมื่อคราแรก เปลี่ยนเป็นตำหนิติเตียน ก็เรื่องละเลยสุขภาพของตัวเองเสมอมาอีกแหละ นอกจากติ นอกจากเตียนแล้ว ยังบังคับให้ปรับปรุงวัตรปฏิบัติในแต่ละวันใหม่เสียทั้งหมด เริ่มต้นด้วยการเข้านอนตั้งแต่สองทุ่ม ให้ตายเถอะสหายรัก ฉันไม่ได้อยู่ในป่าในเขาอย่างพวกเขานี่ จะได้มุดมุ้งเสียตั้งแต่เวลานั้น

สองทุ่ม ราตรีเพิ่งตื่นจากหลับใหล และผีเสื้อผู้หลงแสงสีอย่างฉันเพิ่งเริ่มสยายปีก แหม... ผีเสื้อผู้หลงแสงสี...ผีเสื้อราตรี... ว่าไปแล้วก็ฟังดูยวนใจไงไม่รู้สิ ขนลุกเกรียว ดูไม่เหมาะกับฉันเลย ขอเป็นค้างคาวดีกว่า

แน่ล่ะ สองทุ่ม ค้างคาวราตรีเพิ่งกางปีกบิน แล้วนี่อะไร? กางปุ๊บจะให้หุบปั๊บเลยเรอะ? ใครจะไปยอม พอพูดเข้าหน่อยก็หาว่าเถียง พอเถียงมากๆ ก็ขึ้นธรรมาสน์เทศนากันอีก เอากันเข้าไป ว่ากันเข้าไป บ่นกันเข้าไป เจอกันเมื่อไหร่จะกระโดดถีบรายตัวเลย ฮึ!

แฮ่... ฉันก็บ่นไปงั้นแหละ เอาเข้าจริง ก็ไม่กล้ากระโดดถีบใครหรอก กลัวเจอเตะก้านคอสวนกลับ ฉันก็นอนคอพับไปเท่านั้น

รอดมาจากมีด แต่กลับมาถูกหามลงโลง ไม่คุ้มกัน

ว่าแล้วฉันก็เริ่มปรับปรุงตัวเองใหม่อีกรอบแล้วล่ะ นอนตื่นทันพระอาทิตย์มาเกือบสัปดาห์แล้ว ข้าวปลาก็กินครบสามมื้อ ก็แน่ละสิ จะไม่ให้ครบได้ยังไง เลยเวลาอาหารมาหน่อยนึงเสียงโทรศัพท์ก็ดังขั้นและ “กินข้าวยัง?” ลองตอบกลับไปว่ายังไม่ได้กินสิ ขี้หูได้ร่วงกราว

แต่ทั้งหมดนั้นก็ใช่ว่าฉันจะปรับปรุงตัวเพราะกลัวขี้หูร่วงหรอกนะ ฉันทำเพื่อตัวฉันเอง และเหนือกว่านั้น ฉันทำเพื่อคนที่ฉันรัก ยังมีคนอีกหลายคนรักฉันโดยไม่มีเงื่อนไข และรักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่ฉันรักตัวเอง แล้วฉันจะทำให้เขาเหล่านั้นไม่สบายใจได้อย่างไร?

เธอก็เช่นกัน มิตรคนดี ฉันรักเธอ ฉันจึงต้องดูแลตัวเอง เพื่อว่าจะได้เขียนจดหมายมาคุยกับเธอได้นานๆ

เธอก็อย่าลืมดูแลตัวเองล่ะ


มิตรน้อยๆ ของเธอ
ต้นหนาว ๒๕๕๒



สวัสดีสหายรัก

ฉันนั่งมองท้องฟ้า และกำลังสงสัยว่าเธออยู่มุมไหนของจักรวาลกว้างใหญ่นี้กัน เบื้องหน้าที่สายตาฉันทอดมองไป? มุมซ้าย? มุมขวา? หรือมุมที่ฉันอาจไม่เคยเหลือบแลเลย?

จะว่าไป มุมไหนก็คงไม่ต่างกัน เพราะฉันไม่เห็นอะไรมากไปกว่าท้องฟ้าสีคราม กับปุยเมฆขาวนวลตา คล้ายก้อนนุ่นขยุกขยุยที่ฉันเคยนั่งอัดใส่หมอนเมื่อตอนเล็กๆ ถ้าก้อนเมฆเป็นสำลีจะนุ่มสักแค่ไหนหนอ? เอามาทำหมอนคงนอนฝันดีจนไม่อยากตื่น

เธอเคยนั่งมองก้อนเมฆบ้างหรือเปล่า? ...คงต้องเคยบ้างล่ะ ถ้าเธอยังดื้อดึงบอกว่า ‘ไม่เคย’ ฉันก็คงต้องบอกให้เธอรู้ตัวแล้วล่ะ ว่าเธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดที่สุดในจักรวาล

รู้อะไรมั้ย? ครั้งหนึ่งฉันเคยนึกฝันอยากเป็นนกน้อยทะยานไปให้สุดขอบฟ้าไกล แต่ครั้งเดียวกันนั้นที่ฉันหวาดกลัวก้อนเมฆรูปร่างประหลาดตา ฉันเกลียดเมฆรูปตัวหนอน รูปพญามังกร รูปงูยักษ์ และทุกก้อนที่ฉันวาดภาพไปว่ามันต้องเป็นสัตว์ประหลาดไม่ชนิดใดก็ชนิดหนึ่ง สุดท้ายฉันจำต้องพับฝันนั้นทิ้งไป เพราะขยาดที่จะไปต่อกรกับกองทัพสัตว์นอกโลกเหล่านั้น

ถ้าเพียงตอนนั้นฉันเปลี่ยนความคิดจาก ‘ต่อกร’ เป็น ‘ผูกมิตร’ ป่านนี้ฉันคงมีเพื่อนเป็นอนาคอนด้า กับพญามังกรพ่นไฟไปแล้ว เนอะ

เธอเชื่อมั้ย? ฉันเคยกระโจนขึ้นจากน้ำที่ดำผุดดำว่ายอยู่ทันทีเมื่อคิดว่า พญางูยักษ์บนท้องฟ้ากำลังนอนกบดานอยู่ก้นบ่อ ตั้งแต่นั้นมาฉันไม่กล้าลงเล่นน้ำคนเดียวอีก ไม่กล้าแม้จะจุ่มมือลงในตุ่มที่มีขุ่นตะกอนดำมืดจนมองไม่เห็นผิวพื้นด้านล่าง ฉันคิดว่าต้องมีตัวอะไรสักตัวนอนนิ่งอยู่ในนั้นแน่ ถ้าฉันทะเล่อทะล่าแหย่มือลงไปอาจโดนมันงับจนขาด

แม้บางครั้งจินตนาการจะทำให้ฉันหวาดกลัว แต่ฉันก็ยังรักมันสุดใจ ฉันไม่เคยขัดขวาง ถ้ามันจะโบยบินไปสุดหล้าฟ้าเขียวจนห่อเหี่ยวเหนื่อยล้ากลับมา และฉันไม่เคยนึกเบื่อที่ต้องคอยประคบประหงมก่อนปล่อยให้มันโผบินครั้งแล้วครั้งเล่า

สหายรัก เธอเคยจินตนาการถึงฉันบ้างไหม?

สำหรับฉัน ขอยอมรับด้วยความจริงใจ ไม่เฉไฉบิดเบือน ทุกครั้งที่ฉันระลึกถึงเธอ ทุกตัวอักษรที่เขียน นั่นคือทุกวินาทีที่จินตนาการฉันทำหน้าที่ แน่นอน ทุกภาพล้วนงดงามกระจ่างแจ่ม แต่ฉันไม่เคยยึดติดกับมันเลยแม้สักน้อยนิด

หากวันใดวันหนึ่งในอนาคตเบื้องหน้า วิถีโคจรของดวงดาวเกิดแรงเหวี่ยงขนานใหญ่ ทำให้ทางเดินสองสายบนดาวสองดวงมาบรรจบกัน ณ ระนาบเดียว ฉันจะไม่ถามว่าเธอรู้สึกยังไง แต่ฉันคงดีใจมหาศาล พร้อมกับที่ต้องเสียใจเกินบรรยาย เพราะจินตนาการของฉันถูกทำลายลง ณ วินาทีนั้น

เธอคงน้อยใจว่าฉันไม่อยากพบเธอ เปล่าเลยสหายรัก บางจังหวะ การพบเจอก็หาได้มีประโยชน์อันใดมากไปกว่า ทำหน้าที่เป็นบทเริ่มต้นของการอำลา

บางครั้งการปล่อยให้บางสิ่งงดงามอยู่ในจินตนาการก็เป็นเรื่องเหมาะสมสุดแล้ว ยังไง...เราก็พบกันเสมอในความคิดถึง


แน่ะ! ดูสิ... เริ่มต้นบนท้องฟ้า แต่ฉันกลับพาเธอเลี้ยวออกทะเลเสียนี่ นี่ถ้าฉันยังเขียนยาวกว่านี้ เราคงได้ไปลอยคอเท้งเต้งกันกลางมหาสมุทรแหงแซะ!


คิดถึงเธอนะ
เพื่อนเธอบนดาวสีหม่น
ปฐมพฤศจิกาฯ ๒๕๕๒



ป.ล. ลมหนาวมาเยือนดาวของฉันแล้วล่ะ แต่มันมาแค่วันเดียว ตอนนี้สะบัดตูดหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ถ้ามันผ่านไปทางดาวของเธอ รบกวนบอกมันหน่อยซี ว่าคนบนดาวดวงนี้ยังไม่หายคิดถึงเลย




‘น็อนจัง’ เดินทางเฉียดพันกิโลเมตรจากทะเลสาบสงขลามาถึงห้องพัก 510 ดินแดง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2552 เวลา 22.45 น. ด้วยเมตตาจิตจากกัลยาณมิตรนาม ‘ธุลีดิน’

วินาทีแรกทีสบตากับ ‘น็อนจัง’ คงมิอาจกล่าวความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษรได้ทั้งหมด นอกจากจะบอกว่าทุกความรู้สึกแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกระจ่าง

ฉันใช้เวลาทำความรู้จักกับ ‘เด็กหญิงน็อนจัง’ และ ‘ค็อง’ ลูกสุนัขจิ้งจอกเพื่อนใหม่ของเธอไม่นาน มิตรภาพงดงามทำให้ฉันซึมซับโลกบริสุทธิ์อีกใบ แท้จริงมันเป็นโลกที่ฉันเคยมีเมื่อในอดีต แต่ฉันทอดทิ้งมันมาจนไม่อาจย้อนเวลากลับไปนับได้ว่านานแค่ไหนกัน ที่ฉันหลงลืม และปล่อยให้สิ่งดีๆ เหล่านั้นหลุดลอยไปจากชีวิต

ทุ่งหญ้าเขียวไสวกับทุ่งนาเหลืองอร่าม คงให้ความรู้สึกไม่ต่างกันนักกับผู้เฝ้าสัมผัสกลิ่นอาย สิ่งที่ธรรมชาติเอื้อเฟื้อผู้อิงแอบคือ สุข สงบ และปลอดโปร่ง ความไร้เดียงสาแห่งวัยเยาว์คล้ายภาพงดงามของหมู่ผีเสื้อในทุ่งดอกไม้ สดใส และเริงร่า ไม่ว่ามองจากมุมไหนล้วนทำให้หัวใจอ่อนละมุน แม้คนที่หัวใจแข็งกระด้างดุจหินผา เชื่อแน่ว่ายังมีบางซอกมุมให้ความละมุนนั้นคลี่คลุมใจ ถึงเจ้าตัวจะปฏิเสธ แต่ใครเลยจะรู้ บางครั้งมนุษย์ก็หาได้พูดในสิ่งที่ตรงกับใจ

มิตรภาพงดงามทุกที่ที่มันผลิบานและดำรงอยู่ เพราะมันเกิดมาจากมือที่พร้อมสำหรับการให้ และได้รับการเอาใจใส่จากดวงใจบริสุทธิ์

‘น็อนจัง’ บอกให้ฉันรู้ว่า ‘มิตรภาพเกิดขึ้นง่ายดาย’ แค่รู้จักคำว่า ‘ให้’ เหมือนความจริงใจที่เธอให้ ‘ค็อง’ เหมือนความไว้เนื้อเชื่อใจที่ ‘ค็อง’ ให้เธอ และเหมือน...หนังสือดีๆ ที่ ‘กัลยามิตร’ ให้ฉัน รวมทั้งเหมือนหนังสือดีๆ เล่มเดียวกันนี้ที่ฉันจะให้มันเดินทางต่อไปเพื่อบอกเล่าเรื่องราวงดงามผ่านตัวอักษรให้คนอีกมากมายได้รับรู้

‘น็อนจัง’ เดินทางจากห้องพัก 510 เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2552 สู่แฟลตเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของเด็กสาวร่าเริงผู้รักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุขกับการได้ทำความรู้จักกับ ‘น็อนจัง’ และ ‘ค็อง’ ลูกสุนัขจิ้งจอกตัวน้อย


สายลม
ห้องเช่า 510 ดินแดง


@ หนังสือเดินทาง : น็อนจัง









สวัสดีสหายรักต่างดาว

ไม่ได้เขียนจดหมายมาคุยกันนานเลย เธอคอยบ้างหรือเปล่า? ฉันก็อย่างงี้แหละ นิสัยเสียประจำตัวที่ต้องปรับปรุงโดยด่วนคือเรื่องวินัย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยทำสำเร็จ เถอะ สักวันฉันคงทำได้

อีกไม่นานบนดาวของฉันก็จะเข้าหน้าหนาวแล้ว ตั้งตารอคอยลมหนาวด้วยใจจดจ่อ ตอนนี้อาศัยพัดลมแทนลมหนาวอยู่ทุกวัน บางครั้งอากาศมัวซัวเหมือนว่าจะหนาว แต่ก็แค่ ‘เหมือนจะ’ ไม่รู้เมื่อไหร่ลมหนาวจะมาเยือนจริงๆ ถึงฉันจะชอบฤดูฝนเป็นชีวิตจิตใจ แต่ฤดูหนาวฉันก็มิได้รังเกียจเดียดฉันท์ กลับนึกชอบมันเหมือนกัน เพราะมันทำให้รู้สึกว่าดาวโลกที่ฉันอยู่หมุนช้าลง ทุกอย่างรอบตัวสงบซบเซา พักผ่อนจากความเหนื่อยล้ามาเนิ่นนาน และมันทำให้เราเดินทอดน่องชมสรรพสิ่งได้อิสระเสรี

ระเบียงห้องของฉันมีไม้แขวนมาใหม่สองต้น อยู่ได้ไม่นานใบมันก็เริ่มโรย หวั่นเหลือเกินว่ามันจะมีชีวิตอยู่ไม่พ้นฤดูหนาวนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันคงต้องบอกใครๆ ว่า ‘มันหนาวตาย’ เธอว่าเข้าท่ามั้ย?

แปลกประหลาดจังเลย ต้นไม้ที่มาอยู่ริมระเบียง ถ้ามันมีชีวิตอยู่รอดพ้นสามเดือนแรกมาได้ มันก็ไม่แคล้วต้องกลายเป็นต้นไม้พิกลพิการไม่สมประกอบ แต่กลับมีสองต้นที่นอกจากจะมีชีวิตอยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ซึ่งก็ปาเข้าไปค่อนปีแล้ว ยังอ้วนท้วนเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำ เจริญผิดหูผิดตาเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ มันคงเป็นประเภท ‘ผ่าเหล่า’ นะ เธอว่ามั้ย?

เจ้าสองต้นนี้มีชื่อว่าต้นอะไรบ้างฉันก็จำไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่าจำชื่อมันไม่ได้ แต่จำไม่ได้ว่าคนให้มาเขาบอกชื่อมาด้วยหรือเปล่า นั่งนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก รู้แต่ว่ามันเป็นต้นไม้ ‘ให้หวย’ ที่แม่ขอมาจากคนรู้จักตอนขึ้นมาเยี่ยมฉันครั้งก่อนโน้น แต่ดันเอากลับไปด้วยไม่ได้ เพราะสัมภาระของพระคุณท่านก็มากมายมหาศาลอยู่แล้ว อันนี้ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าจะขนอะไรกลับไปนักหนา ฉันเลยต้องรับผิดชอบดูแลต้นไม้ให้ วิธีการปลูกก็ผิดหลัก หลักอะไรดีล่ะ น่าจะบอกว่าหลัก ‘ไสยศาสตร์’ นั่นแหละดูจะเหมาะสุด

เอาแค่ง่ายๆ กฎข้อแรก สถานที่ที่จะปลูกต้องไม่มีเสื้อผ้าแขวนไว้ด้านบน แต่ด้วยพื้นที่จำกัด ฉันเอาไปปลูกไว้ใต้ราวผ้าซะเลย มันกลับไม่ยักเป็นอะไร อีกข้อ สำคัญมาก ยามเข้าช่วงฤดูผู้หญิงๆ(รู้มั้ยฤดูผู้หญิงคือฤดูอะไร? ฉันว่าเธอน่าจะรู้) นั่นแหละ เข้าฤดูผู้หญิงเมื่อไหร่ห้ามโดนต้นมันเด็ดขาด! ย้ำว่า ‘เด็ดขาด’ ด้วยนะ แต่ฉันไปนั่งลูบๆ คลำๆ มันออกบ่อย ก็เห็นมันเจริญได้เจริญดี ไม่รู้เขาไปเอามาจากตำราไหนกัน

ตอนนี้ต้นหนึ่งสูงเกือบขอบหน้าต่างแล้ว อีกต้นแตกหน่อมาใหม่ แข่งกันออกใบจนแยกไม่ออกว่าต้นไหนแม่ต้นไหนลูก มันออกดอกสีขาวมาอวดโฉมด้วยสองดอก ฉันโทรไปบอกแม่ แม่บอกลองนั่งหาดู เผื่อมันจะให้ ‘เลขเด็ด’ เอากับเขาสิ

เธอรู้จักหวยหรือเปล่า? ฉันก็อธิบายไม่ถูกหรอกว่ามันเป็นยังไง รู้แต่มันมีเลข 0 ถึง 9 วนไปเวียนมาอยู่สิบตัวนี่แหละ เธอก็อย่าไปใส่ใจมันเลยนะ รู้ไว้เพียงมันสามารถทำให้คนรวยได้ในพริบตา แต่เท่าที่ดู เก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซนต์มันทำให้จนผ่อนส่งทั้งนั้น เธอคงคิดล่ะสิว่าจนผ่อนส่งไม่เห็นจะรุนแรงอะไรเลย เอาเถิด เจอเข้ากับตัวแล้วจะรู้ ว่าไอ้ความงมงายน่ะมันร้ายกาจขนาดไหน

ฉันจบจดหมายแค่นี้ล่ะ แล้วจะเขียนมาคุยด้วยใหม่ หวังว่าเธอคงสุขสบายดี


ด้วยความระลึกถึง
เพื่อนเธอบนดาวสีน้ำเงิน
เริ่มพฤศจิกาฯ 2552