สหายที่รักยิ่ง

ห้องพัก 509 ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เยื้องๆ กับห้อง 510 ที่ฉันพักมีผู้มาอยู่ใหม่ราว 2-3 เดือนที่แล้ว จำได้ว่าเย็นวันนั้น ฉันยืนเกาะขอบหน้าต่างระเบียงทางเดินหน้าลิฟต์ มองตึกต่างๆ ที่เบียดเสียดกันเบื้องล่างไกลสุดสายตา เหนือขึ้นไปบนฟากฟ้าทิศตะวันออกระบายสีเทาอมชมพูให้ความรู้สึกอุ่นหวาม งดงามละไม ใกล้เข้ามาอีกนิดพอให้สายตาได้มองเห็นรายละเอียด ต้นโพธิ์ริมรั้วแห่งหนึ่งสะบัดใบพลิ้วไหวเล่นลม คล้ายกระดิ่งมีชีวิตนับหมื่นกำลังระบำเริงร่าไปกับทำนองมหัศจรรย์ ในความครุ่นคำนึงเหมือนว่าฉันจะได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งจากกระดิ่งใบไม้เหล่านั้น และอาจเป็นกระแสลมสายเดียวกันที่พัดมาระเรื่อยผิวหน้าให้รู้สึกสดชื่นสบาย พร้อมกับที่นกบางตัวส่งเสียงร้องก่อนโผบินถลาร่อนแล้วอีกตัวก็กระพือปีกโผทะยานตามไป

ฉันอิงกรอบหน้าต่างมองหลากสรรพสิ่งเบื้องหน้า ครุ่นคิดว่าถ้านำสิ่งที่เห็นมาเปลี่ยนเป็นตัวอักษรบนงานเขียน จะเป็นบันทึกสักฉบับหรือเป็นจดหมายบอกเล่าให้เธอฟังดี แล้วฉันจะบรรยายสิ่งที่เห็น ความสุขใจ ความปลอดโปร่ง ความสงบเย็น หรือความอิ่มเอมใจเหล่านั้นได้ยังไง ท้องฟ้าสีชมพูในม่านตาจะบอกให้เธอเห็นภาพงดงามเสมือนได้มายืนมองร่วมกับฉันได้ยังไงกัน นกร่อนถลาเล่นลมอยู่เบื้องหน้าฉันจะบอกเธอยังไงดีว่านกเหล่านั้นได้ชักชวนอิสรเสรีในตัวฉันให้โบยบินเริงร่าไปด้วย โพธิ์ระบัดใบที่เห็นจะทำยังไงให้เธอได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งจากกระดิ่งสวรรค์นับหมื่นนั่นเช่นเดียวกับที่ฉันได้ยิน

ความคิดต่างๆ หยุดลงเมื่อเสียงลิฟต์ดังขึ้น และประตูลิฟต์เปิดออก ฉันหันไปมอง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเข็นรถออกมานอกลิฟต์ ฉันยิ้มให้ เธอยิ้มตอบ แล้วเข็นรถไปจอดหน้าห้อง 509 ข้าวของต่างๆ ที่อยู่ในรถเข็นถูกทยอยนำลงมาวางหน้าประตู ฉันไม่รู้ว่าเจ้าของคนเก่าย้ายออกไปตั้งแต่ตอนไหน และถ้าวันนั้นฉันไม่ออกไปยืนชมวิวตรงหน้าต่างระบายลม ฉันคงไม่รู้ว่าฉันต้องเปลี่ยนเพื่อนข้างห้องใหม่อีกแล้ว

ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาเพื่อนร่วมห้องที่อยู่ด้วยกันมาร่วมหกปีลาพักร้อนกลับบ้าน ฉันที่ไม่ค่อยจะกล้านอนคนเดียวต้องหาใครอีกคนมาร่วมเตียงด้วย และใครคนนั้นที่ฉันหามาก็พอจะมีเซนต์กับเรื่องลึกลับอยู่บ้าง คืนหลังสุด เธอกระซิบบอกว่าห้อง 509 เลี้ยงกุมารทองไว้ แม้ฉันจะไม่มีเซนต์อะไรกับเรื่องนี้เลยแต่แค่ได้ฟังก็ยังขนตั้งไปด้วย

ถึงกำหนดเพื่อนร่วมห้องกลับ ฉันเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง ปรึกษาหารือตามประสาคนอยู่ร่วมกัน แล้วเธอก็ขุดเรื่องกุมารทองที่เคยฟังจากคนอื่นๆ มาเล่าให้ฉันฟังบ้าง จนฉันขนลุกขนพองไปหมด มีอยู่เรื่องหนึ่งเธอเล่าว่า อพาร์ตเมนต์ของเพื่อนคนหนึ่งมีคนเลี้ยงกุมารทองไว้ในห้องพัก บังเอิญช่วงหนึ่งเจ้าของห้องต้องไปทำธุระที่อื่นนานแรมเดือน เดือดร้อนถึงกุมารทอง ไม่รู้จะไปหากินที่ไหน เพราะไม่มีใครตั้งเครื่องเซ่นให้ ต้องปรากฏตัวให้คนห้องข้างๆ เห็น ขอข้าวเขากิน เที่ยวไปเคาะประตูห้องเขา กลางคืนก็เดินร้องไห้อยู่แถวระเบียง หาเจ้าของไม่เจอ คนที่เห็นที่ได้ยินเสียงแทบจะหัวใจวายไปตามๆ กัน พอเจ้าของห้องเจ้าปัญหานั้นกลับมา ก็โดนอัญเชิญให้ออกทั้งคนทั้งวิญญาณ

ฟังเรื่องที่เพื่อนเล่าแล้วไม่อยากจะบอกเลยว่าฉันนอนยุกยิกพลิกไปพลิกมาอยู่หลายคืน แค่พอหลับตาก็จินตนาการไปต่างๆ นานา หวั่นไปว่าถ้าฉันลืมตาขึ้นมาแล้วจะเจอใครมายืนมองอยู่หรือเปล่า?

วันหยุดของเพื่อนร่วมห้องเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเธอไปเที่ยวสวนจตุจักร หอบต้นไม้มาเต็มอ้อมแขน มีเพื่อนอีกคนที่ไปด้วยช่วยหอบมาอีกแรง กลับมาถึงห้องเธอฉีกยิ้มหน้าบานทันทีที่ฉันเปิดประตูให้ แล้วบอก “ฉันซื้อต้นวาสนามาให้แกด้วยแหละ คนขายเขาบอกกันผีเข้าห้องได้ ทีนี้แกก็ไม่กลัวกุมารทองหรือผีหน้าไหนแล้วนะ” ฉันซึ้งใจจนน้ำตาแทบร่วงเลยล่ะ

เธอเป็นคนย้ายกระถางและจัดระเบียบระเบียงใหม่ทั้งหมด ฉันได้แต่เฝ้าดู พอจะไปช่วยเธอก็บอก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลย ขนาดต้นกระบองเพชรแกยังปลูกตายมาแล้ว ให้ต้นไม้พวกนี้ผ่านมือแกเดี๋ยวมันก็ตายอีก” สหายต่างดาวจ๋า เธอควรจะรู้ไว้นะว่า ฉันน่ะแค่ทำต้นกระบองเพชรตาย แต่เพื่อนรักร่วมห้องของฉันปลูกอะไรมันก็ตายทุกต้น!

ตอนนี้ระเบียงห้องแออัดยัดเยียดไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ แม้แต่ต้นวาสนาที่เธอบอกว่าซื้อมากันผีมันก็กระจุกกันอยู่ตรงนั้น ตามระเบียบของอพาร์ตเมนต์ เราไม่อาจวางต้นไม้ใดๆ ไว้หน้าห้องได้ ยิ่งเข้ามาในห้องข้างประตูยิ่งแล้วใหญ่เราไม่มีพื้นที่มากพอให้วางต้นไม้ไว้ได้เลย พอฉันถามว่าเอาต้นไม้กันผีไปวางไว้บนระเบียงมันจะช่วยได้เหรอ เธอก็ตอบแบบขอไปที “เผื่อผีมันปีนเข้ามาทางระเบียงไง” โธ่เอ๊ย กุมารทองนะ ไม่ใช่จูออน!

แม้ตอนนี้บนระเบียงจะอัดแน่นไปด้วยต้นไม้ แต่ฉันเชื่อเหลือเกินว่ามันคงอยู่อย่างนั้นได้อีกไม่นาน ในเมื่อผ่านไปแค่ไม่ทันถึงอาทิตย์ กุหลาบเลื้อยสองต้นที่เธอเพิ่งซื้อมาใหม่ใบมันเริ่มเหลืองและโรยราแล้ว เห็นกุหลาบโรยหน้าคนปลูกก็เหมือนจะโรยตาม ตอนรดน้ำฉันเห็นเธอก้มๆ เงยๆ พลิกใบมันไปมา แล้วหันมาบอก “มันมีแมลง” ฉันไม่แน่ใจว่านี่ใช่ปัญหาหลักหรือเปล่า แต่เท่าที่ผ่านมาเธอซื้อกุหลาบมาทีไร ใบชุดแรกมันก็ไม่เคยอยู่เกินอาทิตย์สักที หลังจากนั้นมันก็จะกลายเป็นกุหลาบอัปลักษณ์ไร้สง่าราศีไม่อาจสู้หน้าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ได้อีก กว่าจะออกดอกมาให้ยลกันสักดอก เราต้องลุ้นกันตัวโก่ง แต่เมื่อการปลูกต้นไม้ รดน้ำพรวนดินให้มันยามมีเวลาว่าง คือความสุขของเธอ ฉันจึงได้แต่เฝ้ามองด้วยความสุขดุจเดียวกัน

สหายต่างดาวที่รัก จดหมายฉบับล่าสุดเธอคุยเรื่องต่างๆ หนึ่งในนั้นมีเรื่อง ‘ความคิดถึง’ บอกให้ฉันรู้ว่าเธอปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปโดยไม่เอาใจไปข้องเกี่ยว ฉันคิดว่าฉันพอจะเข้าใจความคิดของเธอได้ระดับหนึ่ง(แต่ไม่ยืนยันว่าจะเข้าใจได้ทั้งหมด) ถ้ามองในแง่ของเธอมันก็เป็นสิ่งดี กับการเฝ้ามองและส่งใจถึงด้วยปรารถนาดีอยู่ห่างๆ แต่ถ้ามองในแง่ของฉัน คนที่จะทำแบบนั้นได้หากไม่ใช่ผู้ฝึกฝนตนเองจนปล่อยวางได้ในทุกสิ่งแล้ว เขาคนนั้นคงจิตใจด้านชาไปแล้วแน่ๆ

เปล่าสหายรัก ฉันมิได้นึกต่อว่าใดๆ เธอเลย และฉันคงมิอาจหาญจะทำเช่นนั้นได้ ความคิดและความเชื่อของแต่ละคนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่ควรไปแตะต้อง ฉันเพียงอยากจะบอกเธอว่า การเก็บข่มความรู้สึกตนเอาไว้ในขณะที่อีกฝ่ายปรารถนาให้เธอแสดงออก มันเป็นการกระทำที่ดูจะโหดร้ายไปหน่อย

แน่ล่ะ เธออาจ ‘เถียง’ ว่าถ้าไม่รู้สึกใดๆ เลยล่ะ ถ้าความคิดถึงมิได้แผ้วผ่านเธอสักกระผีกริ้น ฉันก็จะ ‘เถียง’ เธอกลับว่า ฉันพูดถึงในอีกกรณีหนึ่งต่างหากเล่า!

ครั้งหนึ่งเคยมีใครบางคนถามฉันว่า “ไม่เจอกันหลายวัน คิดถึงกันบ้างหรือเปล่า?” ฉันอมยิ้มแล้วบอกเธอไปว่า “เฉยๆ” แน่ล่ะสหายรัก ฉันไม่ได้รู้สึกเฉยๆ อย่างที่ปากพูด แต่คำตอบนั้นมันทำให้เธอมองหน้าฉัน แล้วถาม “มันลำบากมากนักหรือกับการบอกว่าคิดถึงกัน ถ้าเธอพูดมันออกมามันจะทำให้เธอขาดใจตายหรือไง?” หลังจากนั้นเธอก็งอนฉันไปสามวันเจ็ดวัน ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมเธอถึงเป็นแบบนั้น ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น แต่ตอนนี้คิดว่าฉันเข้าใจแล้ว

และถ้ามีใครสักคนถามฉันว่า “คิดถึงกันบ้างมั้ย?” ถ้าแม้สักเพียงเสี้ยวความคิดที่ฉันประหวัดคิดถึงเขา ฉันจะตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า “คิดถึง” เหมือนกับตอนนี้ที่ฉันจะบอกเธอว่า ...“ฉันคิดถึงเธอ”...


ระเบียงพฤกษา
ปลายมกราฯ 2553

@ จดหมายจากดาวสีดิน : นั่นเป็นความรักที่ฉันมีให้


ข้าพเจ้าเพิ่งอ่านเรื่อง ‘รักลวง’ ของท่านทมยันตี จบไปเมื่อไม่นานมานี้ เนื้อหาคร่าวๆ ของเรื่องเป็นความรักของคนสามคน (สองหญิงและหนึ่งชาย)

‘นภลัย’ แฝดสาวผู้พี่ของนภกานต์ เธอเข้มแข็งร่าเริง และรักน้องสาวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ทุกสิ่งที่มีเธอสละให้น้องได้ไม่เว้นแม้ชีวิตตนเอง

‘นภกานต์’ แฝดน้องผู้อ่อนแอทั้งร่างกายและความคิด เป็นผู้รับมาตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้เธอต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา

‘อมรัส’ หนุ่มผู้ช้ำรักด้วยน้ำมือของนภลัย หวังให้นภกานต์มาแทนที่คนรักเก่า สุดท้ายเขาก็พบว่า หน้าตาเหมือนกันก็ใช่จะเหมือนกันทุกอย่าง ไม่มีใครมาแทนที่ใครได้

‘รักลวง’ มีขนาด 2 เล่มจบ ข้าพเจ้าเลือกหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาอ่านเพราะเห็นว่าหน้าปกสวยดี (ตามภาพประกอบด้านบนนั่นแล) แต่เมื่ออ่านจนกระทั่งถึงบรรทัดสุดท้าย ความรู้สึกเดียวที่คิดได้คือ ‘ไม่น่าหยิบมาอ่านเลย ให้ตายเถอะ!’

งานเขียนของท่านทมยันตีทุกเรื่องที่ข้าพเจ้ามีโอกาสได้อ่าน มักแฝงไว้ด้วยความเศร้าและโหยหาบางอย่าง อ่านแล้วรู้สึกโหวงๆ ลึกๆ ในหัวอก ต้องบอกตามตรงว่าข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบความรู้สึกแบบนี้นัก แม้บางเรื่องจะจบลงด้วยความสุขสมหวัง แต่กลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง คล้ายว่าลึกสุดแล้วชีวิตล้วนมีแต่ทุกข์ ไม่มีสิ่งใดเป็นสุขจีรัง นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบงานท่านทมยันตีเท่าที่ควร

ถึงแม้จะไม่ชอบแต่ข้าพเจ้าก็ยอมรับด้วยความสัตย์ซื่อ ว่างานท่านสนุกและน่าติดตาม อ่านแล้วชวนให้ตามอ่านไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้จะตะขิดตะขวงใจกับอารมณ์เศร้าที่ลอยอวลอยู่ทั่วไปในเนื้องาน แต่อารมณ์ขันที่แทรกอยู่ทั่วอณูตัวอักษรในอัตราส่วนไม่ต่างกัน เป็นส่วนผสมคลุกเคล้าลงตัวทีเดียว พาให้ข้าพเจ้าเดินทางจนถึงหน้าสุดท้ายในทุกเล่มที่ได้อ่าน

ถ้าจะให้อ่านงานท่านเพื่อศึกษา คงได้อะไรกลับมาเยอะแยะมากมายเชียวล่ะ แต่รอยหยักที่มีอยู่น้อยนิดในสมองของข้าพเจ้า จึงกอบเก็บอะไรต่อมิอะไรกลับมาได้น้อยเต็มที

สำหรับเรื่อง ‘รักลวง’ เพราะมันจบแบบเศร้าไปหน่อย นอกจากจะไม่ได้กอบเก็บความรู้ใดๆ กลับมาแล้ว ข้าพเจ้ายังต้องเสียน้ำตาให้เรื่องนี้อีกสามกะละมัง สุดเซ็ง...!


ลืมเสียเถิด...ความหลัง ฝังดวงจิต
ลืมเสียเถิด...มิ่งมิตร ขนิษฐา
ลืมเสียเถิด...ความเศร้า ร้าวอุรา
เสียเสียเถิด...แก้วตา อย่าอาวรณ์...



*กิจกรรม ชวนอ่านหนังสือ