มิ่งปิยมิตร
ในภวังค์ เราล้วนเดินทางผ่านทุ่งหญ้า ป่าไพร ละหานห้วย ชะง่อนผาสูง ผ่านแผ่นน้ำดำดึก โตรกหลืบลึกลับ หรือแม้แต่สุดทะเลโค้งรุ้ง เราท่องจนปรุทะลุซอกเล็กซอยน้อย ไม่มีเลยมุมไหนจะรอดพ้นรอยเท้าของเรา แต่เรากลับไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง นั่นก็เพราะว่าเราแค่ย่ำเดินอยู่รอบตัวเราเท่านั้นเอง
ทุ่งฝันตระการบรรเจิดอยู่ในจินตนาการอันวิจิตร เส้นทางที่เหยียบย่ำจะราบเรียบหรือขรุขระ เหมือนว่าเรากำหนดได้เองในทุกรายละเอียด แต่ไฉนไยเราจึงมุ่งหมายเส้นทางทุรกันดารกันหนอ
ฉันก็ไม่ต่างเธอที่เซซังดุ่มด้นไปเบื้องหน้า มุ่งหน้าไขว่คว้าฝัน ทุรนทุรายต่อความยากลำบากเพียงไรไม่เคยระย่อท้อ เพราะรู้อยู่ว่าความรู้สึกเหล่านั้นจะมลายหายทันทีที่ได้สัมผัสจุดหมายแม้ปลายสายตา
แต่เธอที่รัก นั่นก็เพียงแค่ความคิดโง่ๆ ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
ฉันตระหนักแท้แล้วว่าจุดหมายหาใช่มีแต่ความปรีดิ์เปรมเกษมสันต์เป็นรางวัลเสมอไป หากแต่บางครั้งกลับโรยหว่านรอยโศกาอาดูรรอคอยอยู่เบื้องหน้า
ฉากชีวิตของคู่รักหนึ่ง และอีกหลายชีวิตซึ่งฉันเฉกสร้างขึ้นมาเป็นส่วนประกอบ ฉันพาพวกเขาดุ่มเดินไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และน้ำตาที่เปียกปอนเปื้อนหน้า ฉันเรียนรู้ความรู้สึกต่างๆ ร่วมไปกับพวกเขา เขายิ้ม ฉันยิ้ม เขาหัวเราะ ฉันหัวเราะ เขาร้องไห้ ฉันก็ร้องไห้ด้วยกัน
วินาทีเหล่านั้นคือรสชาติหวานล้ำของความอิ่มเอมซึ่งเก็บเกี่ยวได้ระหว่างเส้นทาง หากแต่ฉันรู้ดี ไม่มีเส้นทางใดไร้จุดหมาย เมื่อฉันส่งพวกเขาถึงฟากฝั่งฝัน ฉันกู่ร้องด้วยความยินดี เริงระบำเฉลิมฉลองชัยชนะ หัวเราะสุดเสียง ดวงตาระยิบยับพราวพราย หัวใจพองฟูเหมือนลูกโป่งสวรรค์จะเริงร่ายสู่ลมบน แต่เมื่อล้มตัวลงนอน ฉันกลับตื่นขึ้นรับเช้าวันใหม่ด้วยความว่างเปล่า ความสุขสันต์เมื่อค่ำวานปลาสนาการไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้แต่ความอาดูรเทวษทับถม ฉันเพิ่งตระหนักว่าหลายชีวิตที่กระเตงไว้บนบ่าด้วยหน้าที่รับผิดชอบสุขทุกข์ของพวกเขานั้น ทุกชีวิตคือมิตร คือความฝัน คือเสี้ยวหนึ่งของตัวตนฉัน เมื่อฉันต้องพรากจาก ก็เหมือนตัวตนของฉันขาดหาย ความฝันของฉันขาดตอน
ฉันดื่มด่ำความอาดูร ซมซบอยู่ในห้วงเหวเหว่ว้า มีเพียงความอาลัยอาวรณ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากดวงใจหนึ่ง
เธอว่าฉันต้องใช้เวลาและแรงใจสักเท่าใดในการหยัดกายลุกขึ้นมาก่อร่างสร้างฝันใหม่ คลุกคลีกับอีกเสี้ยวชีวิต ทำความรู้จักมวลมิตรใหม่ๆ เพียงเพื่อย้อนกลับสู่วังวนเดิม
ฉันก็เหมือนเธอ ที่ปลายทางหาได้มีค่ามากไปกว่าลมหายใจเข้าออกระหว่างเดินทาง และไม่ว่าดวงดาวสีน้ำเงินจะโคจรมุ่งหน้าไปสู่ที่ใด ห่างไกลจากจุดเริ่มต้นไปมากเพียงไร หญิงสาวบนดาวดวงนั้นก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
เป็นเช่นที่เธอเป็น นั่นคือเดินทางและเดินทาง
และหญิงสาวคนนั้นคงไม่ปรารถนาจะรับรู้อีกแล้วว่า จุดหมายและจุดเริ่มจะอยู่ ณ แห่งหนไหน ขอเพียงแค่ให้ได้เดินทางจนสุดลมหายใจ เท่านั้นเอง...
ระหว่างทางฝัน
ปลายกรกฎาฯ 2554
ในภวังค์ เราล้วนเดินทางผ่านทุ่งหญ้า ป่าไพร ละหานห้วย ชะง่อนผาสูง ผ่านแผ่นน้ำดำดึก โตรกหลืบลึกลับ หรือแม้แต่สุดทะเลโค้งรุ้ง เราท่องจนปรุทะลุซอกเล็กซอยน้อย ไม่มีเลยมุมไหนจะรอดพ้นรอยเท้าของเรา แต่เรากลับไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง นั่นก็เพราะว่าเราแค่ย่ำเดินอยู่รอบตัวเราเท่านั้นเอง
ทุ่งฝันตระการบรรเจิดอยู่ในจินตนาการอันวิจิตร เส้นทางที่เหยียบย่ำจะราบเรียบหรือขรุขระ เหมือนว่าเรากำหนดได้เองในทุกรายละเอียด แต่ไฉนไยเราจึงมุ่งหมายเส้นทางทุรกันดารกันหนอ
ฉันก็ไม่ต่างเธอที่เซซังดุ่มด้นไปเบื้องหน้า มุ่งหน้าไขว่คว้าฝัน ทุรนทุรายต่อความยากลำบากเพียงไรไม่เคยระย่อท้อ เพราะรู้อยู่ว่าความรู้สึกเหล่านั้นจะมลายหายทันทีที่ได้สัมผัสจุดหมายแม้ปลายสายตา
แต่เธอที่รัก นั่นก็เพียงแค่ความคิดโง่ๆ ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
ฉันตระหนักแท้แล้วว่าจุดหมายหาใช่มีแต่ความปรีดิ์เปรมเกษมสันต์เป็นรางวัลเสมอไป หากแต่บางครั้งกลับโรยหว่านรอยโศกาอาดูรรอคอยอยู่เบื้องหน้า
ฉากชีวิตของคู่รักหนึ่ง และอีกหลายชีวิตซึ่งฉันเฉกสร้างขึ้นมาเป็นส่วนประกอบ ฉันพาพวกเขาดุ่มเดินไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และน้ำตาที่เปียกปอนเปื้อนหน้า ฉันเรียนรู้ความรู้สึกต่างๆ ร่วมไปกับพวกเขา เขายิ้ม ฉันยิ้ม เขาหัวเราะ ฉันหัวเราะ เขาร้องไห้ ฉันก็ร้องไห้ด้วยกัน
วินาทีเหล่านั้นคือรสชาติหวานล้ำของความอิ่มเอมซึ่งเก็บเกี่ยวได้ระหว่างเส้นทาง หากแต่ฉันรู้ดี ไม่มีเส้นทางใดไร้จุดหมาย เมื่อฉันส่งพวกเขาถึงฟากฝั่งฝัน ฉันกู่ร้องด้วยความยินดี เริงระบำเฉลิมฉลองชัยชนะ หัวเราะสุดเสียง ดวงตาระยิบยับพราวพราย หัวใจพองฟูเหมือนลูกโป่งสวรรค์จะเริงร่ายสู่ลมบน แต่เมื่อล้มตัวลงนอน ฉันกลับตื่นขึ้นรับเช้าวันใหม่ด้วยความว่างเปล่า ความสุขสันต์เมื่อค่ำวานปลาสนาการไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้แต่ความอาดูรเทวษทับถม ฉันเพิ่งตระหนักว่าหลายชีวิตที่กระเตงไว้บนบ่าด้วยหน้าที่รับผิดชอบสุขทุกข์ของพวกเขานั้น ทุกชีวิตคือมิตร คือความฝัน คือเสี้ยวหนึ่งของตัวตนฉัน เมื่อฉันต้องพรากจาก ก็เหมือนตัวตนของฉันขาดหาย ความฝันของฉันขาดตอน
ฉันดื่มด่ำความอาดูร ซมซบอยู่ในห้วงเหวเหว่ว้า มีเพียงความอาลัยอาวรณ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากดวงใจหนึ่ง
เธอว่าฉันต้องใช้เวลาและแรงใจสักเท่าใดในการหยัดกายลุกขึ้นมาก่อร่างสร้างฝันใหม่ คลุกคลีกับอีกเสี้ยวชีวิต ทำความรู้จักมวลมิตรใหม่ๆ เพียงเพื่อย้อนกลับสู่วังวนเดิม
ฉันก็เหมือนเธอ ที่ปลายทางหาได้มีค่ามากไปกว่าลมหายใจเข้าออกระหว่างเดินทาง และไม่ว่าดวงดาวสีน้ำเงินจะโคจรมุ่งหน้าไปสู่ที่ใด ห่างไกลจากจุดเริ่มต้นไปมากเพียงไร หญิงสาวบนดาวดวงนั้นก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
เป็นเช่นที่เธอเป็น นั่นคือเดินทางและเดินทาง
และหญิงสาวคนนั้นคงไม่ปรารถนาจะรับรู้อีกแล้วว่า จุดหมายและจุดเริ่มจะอยู่ ณ แห่งหนไหน ขอเพียงแค่ให้ได้เดินทางจนสุดลมหายใจ เท่านั้นเอง...
ระหว่างทางฝัน
ปลายกรกฎาฯ 2554