ถึงเธอสหายที่รักยิ่ง

ฉันเพิ่งกลับมาจากไปหาหมอฟัน ซาบซึ้งในคำพระที่ว่า ‘อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ’ อย่างถึงกึ๋นเชียวล่ะ

เมื่อเดือนก่อนปวดท้องโรคกระเพาะ ประคบประหงมจนอาการทุเลาได้ไม่เท่าไหร่ ภูมิแพ้ที่เพิ่งสำแดงอาการมาไม่นานก็กำเริบเสิบสานขึ้นอีกรอบ สาเหตุของอาการเกิดจากอะไรนั้นสุดรู้ จู่ๆ มันก็มา แล้วจู่ๆ มันก็ไป ไม่ทันได้รักษาอะไรซะด้วยซ้ำ

หายจากภูมิแพ้ได้อาทิตย์เดียวก็ปวดฟันขึ้นมาอีก ส่องกระจกแล้วส่องกระจกอีกก็ไม่เห็นว่ารูมันอยู่ตรงไหน ไม่ว่าจะมุมบน มุมล่าง มุมซ้าย มุมขวา มุมไหนๆ ก็ไม่เห็นฟันผุ แต่อาการปวดตุ้บๆ ไม่ยอมหาย คิดว่าไปให้คุณหมอรูปหล่อตรวจดูคงเข้าที

นั่งรอในคลินิกทำฟันราวสิบห้านาทีเศษๆ สำรวจโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย คุณผู้ช่วยทันตแพทย์ก็มาเชิญเข้าห้อง ขึ้นเตียงนุ่มน่านอน คุณหมอหนุ่มรูปหล่อในวิมานกลางอากาศกลายเป็นคุณหมอสาวหน้าแฉล้มฉีกยิ้มฟันเก๋

ฉันนอนอ้าปาก ให้คุณหมองัดซ้าย งัดขวา ผลที่ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับที่ฉันดูฟันตัวเองในกระจก ไม่มีฟันผุให้เห็น แต่มีคราบหินปูนเกาะหนากว่าปกติ ‘ปกติ’ นี่ก็ไม่รู้ว่าคุณหมอใช้มาตรอะไรวัด เผอิญฉันไม่ได้ถาม ได้คำแนะนำให้ขูดหินปูนก็เออออตามคุณหมอไป คุณหมอว่าไงก็ว่าตามนั้น ถือเสียว่ามาแล้วเสียตังค์ไม่เป็นไร อย่าให้เสียเที่ยวเป็นใช้ได้

เสียงเครื่องมือแพทย์ดังวื้อ...วื้อ... ผสานอาการเสียวจี๊ดๆ ชวนเคลิ้มซะไม่มี ไม่ว่าจะขูดหินปูนกี่ทีต่อกี่ทีเป็นต้องติดใจทุกทีสิน่า นี่ถ้าฉันมีแฟนเป็นทันตแพทย์ เชื่อเลยว่าต้องนอนอ้าปากให้เขาขูดหินปูนให้ทุกวันเชียวล่ะ

เกือบชั่วโมงหมอฟันคนสวยก็ทำหน้าที่เสร็จ คำแนะนำที่ฉันได้รับตามมาคือ มีฟันคุดหนึ่งซี่ด้านล่างขวาต้องผ่าออก(ตอนนี้ยังไม่สำแดงอาการอะไรทนรอต่อไปอีกนิดก็ไม่ว่ากัน แต่ยังไงก็ต้องผ่าโป๊ะเช๊ะ ฟังดูน่ากลัวจังแฮะ) ฟันกรามซี่ในสุดด้านบนทั้งซ้าย-ขวา ไม่คุด แต่ควรถอนออก เหตุผลคือ ถึงมีมันอยู่ก็ไร้ความหมาย ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ทำความสะอาดก็ไม่ถึง ปล่อยไว้รังแต่จะเกิดฟันผุ พานให้ซี่อื่นๆ ผุตาม ทางที่ดีที่สุดคือ จั๋งซี่มันต้องถอน!(อันนี้ก็น่ากลัว)

อะนะ ผ่าก็ผ่า ถอนก็ถอน บอกแล้วไงคุณหมอว่าไงก็ต้องว่าตามนั้น แต่ยังไม่ผ่าไม่ถอนกันตอนนี้ ขอเวลาทำใจหน่อยละกัน

สุดท้ายอาการปวดก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากฟันผุ น่าจะมาจากเหงือกหรือรากฟัน มีฟันผุก็จริง แต่เล็กจี๊ดดดดดเดียะ เธอต้องฟังตอนคุณหมอบอก ‘จี๊ดดดดดเดียะ’ เธอถึงจะจินตนาการได้ว่ามันเล็กขนาดไหน ฉันว่ามันน่าจะเท่ากับ ‘จู้มด’ จริงๆ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่า ‘จู้มด’ คืออะไร แต่สหายที่ฉันรู้จักท่านหนึ่งนำมาใช้ในความหมายว่า เล็กมั่กๆๆๆ (น่าจะเล็กกว่า ‘ขี้ประติ๋ว’ สักพันเท่า) ฉันก็เลยคิดว่ามันคงเล็กมากจริงๆ ถ้าเธอยังสงสัยว่าจู้มดมันจะเล็กขนาดไหน ก็ขอให้มันอยู่แค่ในความสงสัย ไม่ต้องไปจับมดถ่างขาหาจู้มันดูหรอกนะ

คุณหมอแนะนำให้กลับมาสังเกตอาการปวดอีกสักระยะ ถ้ายังไม่หายคงต้องกรอรากฟัน ฉันว่าถ้ากรอก็คงต้องกรอหมดทุกซี่ เพราะตอนนี้ชักจะเริ่มปวดทั้งปากเลยแฮะ

รักษาฟันหายแล้วก็มาดูกันซิว่าโรคอะไรจะเข้ามาเยี่ยมฉันอีก ถ้าเป็นอะไรจะเขียนจดหมายมาเล่าให้เธอฟังอีกนะ หวังว่าเธอคงไม่เบื่ออ่านจดหมายของฉันซะก่อนล่ะ

วันนี้วันที่ 29 ธันวาคม 2552 แล้ว อีกสามวันดาวสีน้ำเงินจะเริ่มโคจรรอบใหม่ ผู้คนบนดาวดวงนี้เตรียมต้อนรับสิ่งดีๆ ที่จะเข้ามาเยือนชีวิตในรอบโคจรหน้า มันเป็นช่วงเวลาของความคึกคักและตื่นเต้นที่จะได้เริ่มนับหนึ่งใหม่กันอีกครั้ง สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ดูดีไปหมด เหมือนดินสอแท่งใหม่ ยางลบก้อนใหม่ สมุดเล่มใหม่ เสื้อผ้าชุดใหม่

เป็นความอิ่มเอมและเบิกบานทุกครั้งที่ได้ใช้อะไรใหม่ๆ

รูปธรรมสัมผัสจับต้องได้ง่ายดาย แต่นามธรรมนี่สิต้องใช้จินตนาการสัมผัส ไม่มีมาตรวัดว่าความพอดีอยู่ตรงไหน บางครั้งจินตนาการที่ใช้จึงอ่อนไปบ้าง บรรเจิดเพริศพรรณรายไปบ้าง ก็แล้วแต่ตัวบุคคล

ฉันไม่รู้จะหวังให้ชีวิตปี 2553 เป็นยังไง และไม่รู้จะจินตนาการให้เพริศแพร้วยังไงดี ในเมื่อดาวสีน้ำเงินโคจรรอบใหม่ในเส้นทางเดิม

ก็ได้แต่หวังให้วิถีของดวงดาวนำความร่มเย็นมาสู่ผู้อาศัย


สวัสดีรอบโคจรใหม่ของดวงดาว
หญิงสาวบนดาวสีน้ำเงิน
ส่งท้ายปี 2552

เปิดสมุดบันทึกเล่มเก่าที่เคยใช้มาหลายปีดีดัก ใช้ไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยถึงหน้าสุดท้ายสักที ราวมันเป็นสมุดบันทึกมหัศจรรย์ที่ใช้งานได้ยาวนานชั่วกัลปาวสาน ทว่าแท้จริงเป็นเพียงผลจากนิสัยขาดความต่อเนื่องอันเป็นสันดอนประจำตนของผู้เป็นเจ้าของ ที่เปิดใช้งานมันแค่เดือนละหนสองหน

เปิดสมุดบันทึกครั้งนี้ต้องตกใจกว่าครั้งไหนๆ ทั้งที่เคยตั้งใจนับครั้งไม่ถ้วนว่าจะเขียนอะไรต่อมิอะไรลงไปทุกวัน ผ่านไปหน่อยก็ว่าจะเขียนทุกอาทิตย์ ทำไปทำมาเอาแค่ว่าให้ได้เดือนละหนก็ยังดี แต่วันสุดท้ายที่ปรากฏบนหน้ากระดาษคือวันที่ 3 ธันวาฯ ปีที่แล้ว หนึ่งปีกับอีก 9 วันที่ฉันไม่ได้เสวนาปราศรัยใดๆ กับมันเลย ถ้าเป็นแฟนกันมันคงตัดหางเขี่ยฉันทิ้งไปจากชีวิตอย่างไม่มีวันให้อภัย โชคดีที่มันต่างสถานะออกไป เป็นเพื่อนสนิทรู้ใจ ถึงจะทิ้งขว้างให้มันต้องเปล่าเปลี่ยวเอกาอาดูรแค่ไหน แค่กลับมาสบตากันอีกครั้ง ก็รู้ได้ทันทีว่า ระหว่างเรายังเหมือนเดิม

เวลายาวนานของหนึ่งปี คล้ายหนึ่งนาทีเพิ่งผ่านพ้น

รอบหนึ่งปีที่ผ่านมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตฉันบ้าง?

...หลายอย่าง...

ถ้าให้บรรยายก็คงไม่หวาดไม่ไหว แม้จะให้ไล่คิดดูก็เหมือนสมองจะชะงักค้างชั่วคราว ด้วยทั้งภาพและเสียงไหลรี่ราวท่อประปาแตก อัดแน่นจนหน่วยประมวลผลทำงานไม่ทัน

แต่พอลองนั่งค่อยๆ นึก ลำดับเหตุการณ์ดูเรื่อยๆ เรื่องราวมากมายก็จริงแต่กลับไม่มีอะไรหวือหวา ถ้าเป็นบทเพลงก็คงเทียบได้กับทำนองสบายๆ ไม่กระแทกกระทั้นจนหัวสั่นหัวคลอน และไม่เอื่อยเอื้อนรันทดจนต้องครวญเพลงถามฟ้าว่า...ทำไมถึงทำกับฉันได้...?

โชคดีที่ชีวิตเลือกเดินทางสายกลางด้วยตัวมันเอง

ชีวิตเลือกสรรให้หลายอย่าง กับอีกหลายอย่างที่ความต้องการของตนเองเลือกสรร ทำให้บางครั้งคลับคล้ายว่าฉันมั่นคงในความรู้สึกสำหรับบางสิ่ง แต่อีกบางครั้งก็คล้ายตัวเองกำลังลอยเท้งเต้งอยู่กลางสูญญากาศของจักรวาล ไม่มีพื้นผิว ไม่มีขอบเขต มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าอันหาที่สุดมิได้

สงบ มั่นคง กับ เปลี่ยวร้าง เดียวดาย

สองความรู้สึกสลับหมุนเวียนกันเข้ามาทักทายเรือนใจ จนสงสัยว่าสิ่งไหนกันแน่คือความจริง สิ่งไหนเป็นเพียงมายาภาพที่จินตนาการรังสรรค์?

แต่ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ยังย่ำไปบนหนทางที่ความต้องการเป็นผู้เลือก แม้จะสับสน มึนงง และไม่แน่นอนในทุกสิ่ง แต่จะหวั่นไปไยเมื่อชีวิตไม่เคยมีอะไรแน่นอน และแม้จะไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะที่ผ่านมาฉันก็ไม่เคยมั่นใจในอะไรสักอย่าง ถึงกระนั้นฉันก็ยังย่ำเดินมาจนถึงวันนี้

จะหนักหนาอะไรนักหนา หากรู้สึกว่าชีวิตมันช่างแย่สิ้นดี ก็แค่หลับตา บอกตัวเองเบาๆ ว่า "ช่างมัน" ก็เท่านั้น...


12 ธันวาฯ 2552
อพาร์ตเม้นต์ ดินแดง