เปิดสมุดบันทึกเล่มเก่าที่เคยใช้มาหลายปีดีดัก ใช้ไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยถึงหน้าสุดท้ายสักที ราวมันเป็นสมุดบันทึกมหัศจรรย์ที่ใช้งานได้ยาวนานชั่วกัลปาวสาน ทว่าแท้จริงเป็นเพียงผลจากนิสัยขาดความต่อเนื่องอันเป็นสันดอนประจำตนของผู้เป็นเจ้าของ ที่เปิดใช้งานมันแค่เดือนละหนสองหน
เปิดสมุดบันทึกครั้งนี้ต้องตกใจกว่าครั้งไหนๆ ทั้งที่เคยตั้งใจนับครั้งไม่ถ้วนว่าจะเขียนอะไรต่อมิอะไรลงไปทุกวัน ผ่านไปหน่อยก็ว่าจะเขียนทุกอาทิตย์ ทำไปทำมาเอาแค่ว่าให้ได้เดือนละหนก็ยังดี แต่วันสุดท้ายที่ปรากฏบนหน้ากระดาษคือวันที่ 3 ธันวาฯ ปีที่แล้ว หนึ่งปีกับอีก 9 วันที่ฉันไม่ได้เสวนาปราศรัยใดๆ กับมันเลย ถ้าเป็นแฟนกันมันคงตัดหางเขี่ยฉันทิ้งไปจากชีวิตอย่างไม่มีวันให้อภัย โชคดีที่มันต่างสถานะออกไป เป็นเพื่อนสนิทรู้ใจ ถึงจะทิ้งขว้างให้มันต้องเปล่าเปลี่ยวเอกาอาดูรแค่ไหน แค่กลับมาสบตากันอีกครั้ง ก็รู้ได้ทันทีว่า ระหว่างเรายังเหมือนเดิม
เวลายาวนานของหนึ่งปี คล้ายหนึ่งนาทีเพิ่งผ่านพ้น
รอบหนึ่งปีที่ผ่านมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตฉันบ้าง?
...หลายอย่าง...
ถ้าให้บรรยายก็คงไม่หวาดไม่ไหว แม้จะให้ไล่คิดดูก็เหมือนสมองจะชะงักค้างชั่วคราว ด้วยทั้งภาพและเสียงไหลรี่ราวท่อประปาแตก อัดแน่นจนหน่วยประมวลผลทำงานไม่ทัน
แต่พอลองนั่งค่อยๆ นึก ลำดับเหตุการณ์ดูเรื่อยๆ เรื่องราวมากมายก็จริงแต่กลับไม่มีอะไรหวือหวา ถ้าเป็นบทเพลงก็คงเทียบได้กับทำนองสบายๆ ไม่กระแทกกระทั้นจนหัวสั่นหัวคลอน และไม่เอื่อยเอื้อนรันทดจนต้องครวญเพลงถามฟ้าว่า...ทำไมถึงทำกับฉันได้...?
โชคดีที่ชีวิตเลือกเดินทางสายกลางด้วยตัวมันเอง
ชีวิตเลือกสรรให้หลายอย่าง กับอีกหลายอย่างที่ความต้องการของตนเองเลือกสรร ทำให้บางครั้งคลับคล้ายว่าฉันมั่นคงในความรู้สึกสำหรับบางสิ่ง แต่อีกบางครั้งก็คล้ายตัวเองกำลังลอยเท้งเต้งอยู่กลางสูญญากาศของจักรวาล ไม่มีพื้นผิว ไม่มีขอบเขต มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าอันหาที่สุดมิได้
สงบ มั่นคง กับ เปลี่ยวร้าง เดียวดาย
สองความรู้สึกสลับหมุนเวียนกันเข้ามาทักทายเรือนใจ จนสงสัยว่าสิ่งไหนกันแน่คือความจริง สิ่งไหนเป็นเพียงมายาภาพที่จินตนาการรังสรรค์?
แต่ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ยังย่ำไปบนหนทางที่ความต้องการเป็นผู้เลือก แม้จะสับสน มึนงง และไม่แน่นอนในทุกสิ่ง แต่จะหวั่นไปไยเมื่อชีวิตไม่เคยมีอะไรแน่นอน และแม้จะไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะที่ผ่านมาฉันก็ไม่เคยมั่นใจในอะไรสักอย่าง ถึงกระนั้นฉันก็ยังย่ำเดินมาจนถึงวันนี้
จะหนักหนาอะไรนักหนา หากรู้สึกว่าชีวิตมันช่างแย่สิ้นดี ก็แค่หลับตา บอกตัวเองเบาๆ ว่า "ช่างมัน" ก็เท่านั้น...
12 ธันวาฯ 2552
อพาร์ตเม้นต์ ดินแดง
เปิดสมุดบันทึกครั้งนี้ต้องตกใจกว่าครั้งไหนๆ ทั้งที่เคยตั้งใจนับครั้งไม่ถ้วนว่าจะเขียนอะไรต่อมิอะไรลงไปทุกวัน ผ่านไปหน่อยก็ว่าจะเขียนทุกอาทิตย์ ทำไปทำมาเอาแค่ว่าให้ได้เดือนละหนก็ยังดี แต่วันสุดท้ายที่ปรากฏบนหน้ากระดาษคือวันที่ 3 ธันวาฯ ปีที่แล้ว หนึ่งปีกับอีก 9 วันที่ฉันไม่ได้เสวนาปราศรัยใดๆ กับมันเลย ถ้าเป็นแฟนกันมันคงตัดหางเขี่ยฉันทิ้งไปจากชีวิตอย่างไม่มีวันให้อภัย โชคดีที่มันต่างสถานะออกไป เป็นเพื่อนสนิทรู้ใจ ถึงจะทิ้งขว้างให้มันต้องเปล่าเปลี่ยวเอกาอาดูรแค่ไหน แค่กลับมาสบตากันอีกครั้ง ก็รู้ได้ทันทีว่า ระหว่างเรายังเหมือนเดิม
เวลายาวนานของหนึ่งปี คล้ายหนึ่งนาทีเพิ่งผ่านพ้น
รอบหนึ่งปีที่ผ่านมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตฉันบ้าง?
...หลายอย่าง...
ถ้าให้บรรยายก็คงไม่หวาดไม่ไหว แม้จะให้ไล่คิดดูก็เหมือนสมองจะชะงักค้างชั่วคราว ด้วยทั้งภาพและเสียงไหลรี่ราวท่อประปาแตก อัดแน่นจนหน่วยประมวลผลทำงานไม่ทัน
แต่พอลองนั่งค่อยๆ นึก ลำดับเหตุการณ์ดูเรื่อยๆ เรื่องราวมากมายก็จริงแต่กลับไม่มีอะไรหวือหวา ถ้าเป็นบทเพลงก็คงเทียบได้กับทำนองสบายๆ ไม่กระแทกกระทั้นจนหัวสั่นหัวคลอน และไม่เอื่อยเอื้อนรันทดจนต้องครวญเพลงถามฟ้าว่า...ทำไมถึงทำกับฉันได้...?
โชคดีที่ชีวิตเลือกเดินทางสายกลางด้วยตัวมันเอง
ชีวิตเลือกสรรให้หลายอย่าง กับอีกหลายอย่างที่ความต้องการของตนเองเลือกสรร ทำให้บางครั้งคลับคล้ายว่าฉันมั่นคงในความรู้สึกสำหรับบางสิ่ง แต่อีกบางครั้งก็คล้ายตัวเองกำลังลอยเท้งเต้งอยู่กลางสูญญากาศของจักรวาล ไม่มีพื้นผิว ไม่มีขอบเขต มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าอันหาที่สุดมิได้
สงบ มั่นคง กับ เปลี่ยวร้าง เดียวดาย
สองความรู้สึกสลับหมุนเวียนกันเข้ามาทักทายเรือนใจ จนสงสัยว่าสิ่งไหนกันแน่คือความจริง สิ่งไหนเป็นเพียงมายาภาพที่จินตนาการรังสรรค์?
แต่ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ยังย่ำไปบนหนทางที่ความต้องการเป็นผู้เลือก แม้จะสับสน มึนงง และไม่แน่นอนในทุกสิ่ง แต่จะหวั่นไปไยเมื่อชีวิตไม่เคยมีอะไรแน่นอน และแม้จะไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะที่ผ่านมาฉันก็ไม่เคยมั่นใจในอะไรสักอย่าง ถึงกระนั้นฉันก็ยังย่ำเดินมาจนถึงวันนี้
จะหนักหนาอะไรนักหนา หากรู้สึกว่าชีวิตมันช่างแย่สิ้นดี ก็แค่หลับตา บอกตัวเองเบาๆ ว่า "ช่างมัน" ก็เท่านั้น...
12 ธันวาฯ 2552
อพาร์ตเม้นต์ ดินแดง
อา...
อัปบล็อกแล้ว แต่ยังไม่ได้อ่าน อิๆๆ เดี๋ยวคืนนี้เจอกัน
แอบดูบันทึกสาวทีไรจั๊กกะเดียมหัวใจ ทู้กกกที
หวาย...นัดเจอกันกลางคืน
หนูเป็นกุลสตรีไทยนะพี่ จะดีเหรอ?
ว่าแต่กี่ทุ่มอะจ๊ะ?
ขับซิ่งจังเลยทั่นดิลล์ ปาดกันเห็นๆ
ไอ้โรคจั๊กกะเดียมหัวใจนี่มันรักษายังไงอ่า?
จะสวมบทเป็นคุณหมอรักษาให้
เข้ามาอ่านแระ!
ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนขนาดนี้เท่าใดนัก สมุดบันทึกของเกล้ากระผมเท่าที่เคยเขียนมา จะมีแต่เนื้อหาแห่งความหิวโหยเป็นส่วนใหญ่
แม่พระพาย...
ข้างบ้านเขากำลังเทปูนก่อสร้างบ้านหลังใหม่ คนงานทำโอทีอย่างขยันขันแข็ง เสียงเครื่องโม่ปูนแทรกอณุอากาศกระทบโสตประสาทกระเจิง เหมือนปีศาจร้ายคำรามกราดเกรี้ยว ว่าจะเขียนนิยายจักรๆวงศ์ๆสักหน่อย แต่เขียนไม่ออก
นิยายจักรๆวงศ์ๆเรื่องนี้ ถูกค้นพบที่กองหนังสือของกระผมเอง อ่านแล้วชอบ มันเป็นจินตนาการเมื่อตอนผมอายุสิบแปดปี แรกเข้ามาอยู่กรุงเทพฯใช้วิธีเขียนนิยายฆ่าความเหงา ตอนนี้ก็ยังอายุสิบแปดปีอยู่ ว่าจะเขียนต่อ รีไรต์อีกสักหน่อยพอให้มีกลิ่นหอม เขียนลงบล็อกอย่างสบายอกสบายใจไม่ต้องกังวลเรื่องค่าแรง
แม่พระพาย...
ทั้งหมดที่ว่ามา คือโฆษณานะจ๊ะ!