มิ่งมิตรแดนไกล
เธออยู่ดีมีสุขหรือทุกข์ตรมเช่นไร? ป่วยไข้หรือร่างกายสดใสแข็งแรงดีอยู่? หวังว่าเธอยังสุขกายสุขใจเช่นที่เป็นมาและยังคงจะเป็นไป ฉันนี่สิกระเสาะกระแสะร่างกายย่ำแย่ลงทุกวัน คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ปล่อยปละละเลยไม่ใคร่สนใจตัวเองเท่าที่ควร เธอคงไม่รู้ว่าฉันมีนิสัยเสียชอบตามใจตัวเองมากไป และมักตามใจไปในทางผิดๆ ซะด้วยสิ อาจไม่เหมาะสมนักถ้าฉันจะนำเรื่องเจ็บป่วยมาโอดครวญต่อเธอ ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ ทุกอย่างจะดีขึ้นได้ถ้าได้รับการแก้ไขปรับปรุงไปในทางที่เหมาะสม แต่ตัวฉันกลับไม่นำพา
เอาล่ะ ฉันคุยกับเธอเรื่องอื่นดีกว่า
เมื่อคืนเพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ความจริงฉันก็อ่านหนังสือก่อนนอนทุกคืนอยู่แล้ว แต่เน้นไปทางหนังสือนิยายไร้สาระเสียส่วนใหญ่ คำว่า ‘ไร้สาระ’ นี่ก็ไม่ได้มาจากความคิดฉันหรอกนะ แต่เป็นคนอื่นที่ให้นิยามเกี่ยวกับนิยายที่ฉันอ่าน ‘ประโลมโลกย์ เพ้อฝัน น้ำเน่า’ นั่นคือคำจำกัดความที่ใครต่อใครให้ไว้ แต่ใครจะว่าอย่างไรก็เรื่องของเขา ฉันไม่สนใจหรอก รสนิยมใครก็รสนิยมคนนั้น เรื่องอะไรที่ฉันจะต้องเปลี่ยนรสนิยมการอ่านเพื่อให้ดูดีในสายตาคนอื่นด้วยเล่า ในเมื่อนั่นไม่ใช่ตัวฉัน จมดิ่งอยู่ในความอึดอัด คับข้องใจ ฉันไม่เคยคิดกระทำ มนุษย์เรานี่ก็แปลก บางคนพยายามสร้างภาพตัวเองเสียดูดีหรูหรา อยากรู้นักเขาจะมีความสุขสักแค่ไหนกันเชียว อีกบางคนก็ประณามหยามเหยียดคนอื่น ผู้ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่ตนเองเป็น นี่สิ ไร้สาระโดยแท้
ว้า.. ชวนเธอคุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้อีกแล้ว อย่าได้ใส่ใจนักเลย บางทีฉันก็ชอบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหาสาระไม่ได้ ดังเช่นหนังสือที่ฉันชอบอ่านนั่นแหละ มาเข้าเรื่องที่ฉันจะคุยกับเธอกันดีกว่า
เผอิญเมื่อคืนฉันดันหยิบหนังสือ ‘มีสาระ’ ขึ้นมาอ่าน หนังสือมีสาระเป็นยังไง ก็น่าจะประมาณว่า เป็นหนังสือให้ความรู้ ต่อยอดความคิด ทำให้คนเราฉลาดขึ้น เหมือนกับที่ใครๆ เขาว่า ‘ยิ่งอ่านมากยิ่งฉลาดมาก’
แต่...สุดแสนประหลาด
ฉันไม่แน่ใจว่าหนังสือพวกนี้จะทำให้ฉันฉลาดได้ยังไง ในเมื่อยิ่งฉันอ่านมากเท่าไหร่ ฉันกลับยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่เขลามากเท่านั้น ยิ่งอ่านยิ่งตระหนักว่ายังมีเรื่องราวมากมายที่เรายังไม่รู้ ยิ่งไม่รู้ก็ยิ่งต้องอ่าน ต้องอ่าน และต้องอ่าน
ให้ตายเถอะ ฉันไม่ชอบเลย ความรู้สึกแบบนี้
คล้ายกับว่าฉันกำลังถูกดึงกลับเข้าสู่วังวนของการขวนขวาย แข่งขัน เพื่อให้เท่าทันคนอื่น ทั้งที่ฉันพยายามสลัดหนี บางทีฉันก็สงสัยว่าที่คิดไปนั้นเพราะฉันมองอะไรในแง่ลบมากไปหรือเปล่า? ไม่มีใครต้องการจะขวนขวาย แข่งขันอะไรกับฉันสักหน่อย คงเป็นเพียงฉันที่ต้องการจะแข่งกับใจตนเองเท่านั้น
ที่น่าตลกก็คือฉันเผลอคิดไปว่า หนังสือมีสาระบางทีก็เหมือนตัวตัณหาดีๆ ชนิดหนึ่ง อ่านไม่ดียิ่งพอกพูนอัตตาตน บางคนอ่านแล้วอวดโอ่ ว่าตนฉลาดรู้ยิ่ง ฉันยังนึกสมเพชเวทนา ความคิดหลังนี่สิตลกร้าย คนโง่อย่างฉันดันสะเออะไปสมเพชเวทนาคนฉลาด จะมีอะไรตลกมากเท่านี้อีก?
อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว ถ้าเธองงๆ สงสัยว่าฉันชวนเธอคุยเรื่องอะไร ก็อย่าได้ใส่ใจอะไรเลย อ่านมันจบตรงไหนก็วางมันไว้ตรงนั้น ฉันแค่เขียนมาคุยกับเธอเล่นๆ แค่คนโง่ๆ ที่อยากระบายความคิดโง่ๆ หาประโยชน์อันใดไม่ได้ เท่านั้นเอง
บ่ายเหงาๆ ห้องเช่าดินแดง
ต้นมีนาฯ 2553
เธออยู่ดีมีสุขหรือทุกข์ตรมเช่นไร? ป่วยไข้หรือร่างกายสดใสแข็งแรงดีอยู่? หวังว่าเธอยังสุขกายสุขใจเช่นที่เป็นมาและยังคงจะเป็นไป ฉันนี่สิกระเสาะกระแสะร่างกายย่ำแย่ลงทุกวัน คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ปล่อยปละละเลยไม่ใคร่สนใจตัวเองเท่าที่ควร เธอคงไม่รู้ว่าฉันมีนิสัยเสียชอบตามใจตัวเองมากไป และมักตามใจไปในทางผิดๆ ซะด้วยสิ อาจไม่เหมาะสมนักถ้าฉันจะนำเรื่องเจ็บป่วยมาโอดครวญต่อเธอ ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ ทุกอย่างจะดีขึ้นได้ถ้าได้รับการแก้ไขปรับปรุงไปในทางที่เหมาะสม แต่ตัวฉันกลับไม่นำพา
เอาล่ะ ฉันคุยกับเธอเรื่องอื่นดีกว่า
เมื่อคืนเพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ความจริงฉันก็อ่านหนังสือก่อนนอนทุกคืนอยู่แล้ว แต่เน้นไปทางหนังสือนิยายไร้สาระเสียส่วนใหญ่ คำว่า ‘ไร้สาระ’ นี่ก็ไม่ได้มาจากความคิดฉันหรอกนะ แต่เป็นคนอื่นที่ให้นิยามเกี่ยวกับนิยายที่ฉันอ่าน ‘ประโลมโลกย์ เพ้อฝัน น้ำเน่า’ นั่นคือคำจำกัดความที่ใครต่อใครให้ไว้ แต่ใครจะว่าอย่างไรก็เรื่องของเขา ฉันไม่สนใจหรอก รสนิยมใครก็รสนิยมคนนั้น เรื่องอะไรที่ฉันจะต้องเปลี่ยนรสนิยมการอ่านเพื่อให้ดูดีในสายตาคนอื่นด้วยเล่า ในเมื่อนั่นไม่ใช่ตัวฉัน จมดิ่งอยู่ในความอึดอัด คับข้องใจ ฉันไม่เคยคิดกระทำ มนุษย์เรานี่ก็แปลก บางคนพยายามสร้างภาพตัวเองเสียดูดีหรูหรา อยากรู้นักเขาจะมีความสุขสักแค่ไหนกันเชียว อีกบางคนก็ประณามหยามเหยียดคนอื่น ผู้ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่ตนเองเป็น นี่สิ ไร้สาระโดยแท้
ว้า.. ชวนเธอคุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้อีกแล้ว อย่าได้ใส่ใจนักเลย บางทีฉันก็ชอบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหาสาระไม่ได้ ดังเช่นหนังสือที่ฉันชอบอ่านนั่นแหละ มาเข้าเรื่องที่ฉันจะคุยกับเธอกันดีกว่า
เผอิญเมื่อคืนฉันดันหยิบหนังสือ ‘มีสาระ’ ขึ้นมาอ่าน หนังสือมีสาระเป็นยังไง ก็น่าจะประมาณว่า เป็นหนังสือให้ความรู้ ต่อยอดความคิด ทำให้คนเราฉลาดขึ้น เหมือนกับที่ใครๆ เขาว่า ‘ยิ่งอ่านมากยิ่งฉลาดมาก’
แต่...สุดแสนประหลาด
ฉันไม่แน่ใจว่าหนังสือพวกนี้จะทำให้ฉันฉลาดได้ยังไง ในเมื่อยิ่งฉันอ่านมากเท่าไหร่ ฉันกลับยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่เขลามากเท่านั้น ยิ่งอ่านยิ่งตระหนักว่ายังมีเรื่องราวมากมายที่เรายังไม่รู้ ยิ่งไม่รู้ก็ยิ่งต้องอ่าน ต้องอ่าน และต้องอ่าน
ให้ตายเถอะ ฉันไม่ชอบเลย ความรู้สึกแบบนี้
คล้ายกับว่าฉันกำลังถูกดึงกลับเข้าสู่วังวนของการขวนขวาย แข่งขัน เพื่อให้เท่าทันคนอื่น ทั้งที่ฉันพยายามสลัดหนี บางทีฉันก็สงสัยว่าที่คิดไปนั้นเพราะฉันมองอะไรในแง่ลบมากไปหรือเปล่า? ไม่มีใครต้องการจะขวนขวาย แข่งขันอะไรกับฉันสักหน่อย คงเป็นเพียงฉันที่ต้องการจะแข่งกับใจตนเองเท่านั้น
ที่น่าตลกก็คือฉันเผลอคิดไปว่า หนังสือมีสาระบางทีก็เหมือนตัวตัณหาดีๆ ชนิดหนึ่ง อ่านไม่ดียิ่งพอกพูนอัตตาตน บางคนอ่านแล้วอวดโอ่ ว่าตนฉลาดรู้ยิ่ง ฉันยังนึกสมเพชเวทนา ความคิดหลังนี่สิตลกร้าย คนโง่อย่างฉันดันสะเออะไปสมเพชเวทนาคนฉลาด จะมีอะไรตลกมากเท่านี้อีก?
อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว ถ้าเธองงๆ สงสัยว่าฉันชวนเธอคุยเรื่องอะไร ก็อย่าได้ใส่ใจอะไรเลย อ่านมันจบตรงไหนก็วางมันไว้ตรงนั้น ฉันแค่เขียนมาคุยกับเธอเล่นๆ แค่คนโง่ๆ ที่อยากระบายความคิดโง่ๆ หาประโยชน์อันใดไม่ได้ เท่านั้นเอง
บ่ายเหงาๆ ห้องเช่าดินแดง
ต้นมีนาฯ 2553
หวัดดีแม่พระพาย
ไม่ได้เล่นบล็อกเสียนานเลยผม
บล็อกสำหรับผู้น้อยเป็นกระปุกออมสิน หยอดไปเรื่อย ๆ ว่าง ๆ จึงค่อยแงะเอาออกมาซื้อขนมที
บล็อกสำหรับข้าพเจ้าเป็นสมุดบันทึก เขียนความทรงจำใส่ไว้ ครึ้มอกครึ้มใจก็เปิดออกดู แล้วนั่งอมยิ้มแก้มปริ