ดวงใจแห่งฉัน
สรรพสิ่งในโลกพบพานเพื่อเคลื่อนผ่านแยกจากใช่มั้ย? ไม่มีสองสิ่งใดจะผูกพันเหนียวแน่นจนไม่มีวันแยกห่างจากกัน ฉันตระหนักดีเสมอมา แต่เมื่อถึงเวลาเข้าจริงๆ หัวใจกลับมึนชาไร้ความรู้สึก ใช่ว่าหัวใจฉันจะหยาบกระด้างกับการรับรู้ซึ่งร้อนหนาว ทว่า มันได้รับรู้รสชาติของความเจ็บปวดจนเกินทานทนแล้ว
ที่รักแห่งฉัน
มีคำกล่าวหนึ่งบอกไว้ ‘ใช้เวลาปัจจุบันให้มีความสุขที่สุด เพื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้ย้อนกลับมาเก็บเกี่ยวผลอันหอมหวานของความสุขนั้น ในความทรงจำที่เราถนอมไว้’
ฉันพยายามทำอย่างนั้นแล้วที่รัก
ฉันพยายามทำให้จิตใจได้หัวเราะเริงร่า สรวลเสเฮฮาอยู่ในอวลอุ่นของพราวรุ้งแห่งความสุขอันอวลหอม ฉันมีความสุขขณะนั้น ฉันเชื่อว่านั่นคือความสุขที่ฉันสัมผัสได้ จับต้องได้จริง
แต่ทำไมกันที่รัก?
เมื่อเกลียวผูกพันระหว่างสองสิ่งคลายคลี่ ความทรงจำดีๆ ที่ฉันเพียรกอบเก็บและเฝ้าถนอม กลับแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดกรีดดวงใจให้ร้าวทุรน แว่วเสียงหัวเราะเริงร่า กลายเป็นเสียงบีบเค้นหยาดน้ำตาให้หลั่งริน
คำกล่าวนั้นคือคำโป้ปดหลอกลวงของคนที่ยังหลงเพลิดอยู่ในบ่วงแห่งความสุขใช่หรือไม่?
ถ้าเขาก้าวพ้นจากบ่วงนั้น แล้วถลำลงในบ่อโศกตรม เก็บกินเมล็ดผลโศกาอาดูร แทนเมล็ดผลหอมหวานซ่านใจ เขาจะยังกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมามั้ย?
ที่รัก ฉันย่ำเดินอยู่บนรอยทางของกาลเวลา เฝ้านับวันคืนเคลื่อนผ่าน ครั้งหนึ่งฉันหลงคิดไปว่าเวลาเคลื่อนคล้อยหมุนเปลี่ยน นาฬิกาและปฏิทินข้างฝาบอกร่องรอยการเดินทาง
ฉันเพิ่งรู้
เปล่าเลย เวลาไม่ได้เดินทางไปไหน มันยังอยู่ ณ ที่ที่มันเคยอยู่ ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต มันก็ยังอยู่ตรงนั้น หาได้ลอยเลื่อนเคลื่อนย้าย เป็นเราเองที่เคลื่อนที่ดุ่มเดินไปข้างหน้า จนไม่อาจย้อนคืนยังจุดเดิม เคยไหมสักขณะจิตหนึ่ง ที่เธอหมุนคว้างกลางทางแยกวกวน ณ จุดนั้นเธอเคยถามตัวเองบ้างไหม เธอมาไกลจากจุดเริ่มต้นไปเท่าใดแล้ว?
ความรู้สึกขณะด่ำดิ่งอยู่ในม่านหมอกแห่งความสุข กับความรู้สึกยามย้อนรำลึกถึงมัน หาใช่ความรู้สึกเดียวกันเลย ยิ่งก้าวไกลไปข้างหน้ามากเท่าใด หนามอันแหลมคมของความทรงจำหอมหวน จะคอยกรีดเฉือนดวงใจให้เป็นแผลเหวอะหวะเพิ่มเท่านั้น
นั่นล่ะเธอที่รัก คือสิ่งที่ความทรงจำกระทำต่อฉัน
ในหมอกม่านความทรงจำ
พฤศจิกาฯ 2554
สรรพสิ่งในโลกพบพานเพื่อเคลื่อนผ่านแยกจากใช่มั้ย? ไม่มีสองสิ่งใดจะผูกพันเหนียวแน่นจนไม่มีวันแยกห่างจากกัน ฉันตระหนักดีเสมอมา แต่เมื่อถึงเวลาเข้าจริงๆ หัวใจกลับมึนชาไร้ความรู้สึก ใช่ว่าหัวใจฉันจะหยาบกระด้างกับการรับรู้ซึ่งร้อนหนาว ทว่า มันได้รับรู้รสชาติของความเจ็บปวดจนเกินทานทนแล้ว
ที่รักแห่งฉัน
มีคำกล่าวหนึ่งบอกไว้ ‘ใช้เวลาปัจจุบันให้มีความสุขที่สุด เพื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้ย้อนกลับมาเก็บเกี่ยวผลอันหอมหวานของความสุขนั้น ในความทรงจำที่เราถนอมไว้’
ฉันพยายามทำอย่างนั้นแล้วที่รัก
ฉันพยายามทำให้จิตใจได้หัวเราะเริงร่า สรวลเสเฮฮาอยู่ในอวลอุ่นของพราวรุ้งแห่งความสุขอันอวลหอม ฉันมีความสุขขณะนั้น ฉันเชื่อว่านั่นคือความสุขที่ฉันสัมผัสได้ จับต้องได้จริง
แต่ทำไมกันที่รัก?
เมื่อเกลียวผูกพันระหว่างสองสิ่งคลายคลี่ ความทรงจำดีๆ ที่ฉันเพียรกอบเก็บและเฝ้าถนอม กลับแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดกรีดดวงใจให้ร้าวทุรน แว่วเสียงหัวเราะเริงร่า กลายเป็นเสียงบีบเค้นหยาดน้ำตาให้หลั่งริน
คำกล่าวนั้นคือคำโป้ปดหลอกลวงของคนที่ยังหลงเพลิดอยู่ในบ่วงแห่งความสุขใช่หรือไม่?
ถ้าเขาก้าวพ้นจากบ่วงนั้น แล้วถลำลงในบ่อโศกตรม เก็บกินเมล็ดผลโศกาอาดูร แทนเมล็ดผลหอมหวานซ่านใจ เขาจะยังกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมามั้ย?
ที่รัก ฉันย่ำเดินอยู่บนรอยทางของกาลเวลา เฝ้านับวันคืนเคลื่อนผ่าน ครั้งหนึ่งฉันหลงคิดไปว่าเวลาเคลื่อนคล้อยหมุนเปลี่ยน นาฬิกาและปฏิทินข้างฝาบอกร่องรอยการเดินทาง
ฉันเพิ่งรู้
เปล่าเลย เวลาไม่ได้เดินทางไปไหน มันยังอยู่ ณ ที่ที่มันเคยอยู่ ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต มันก็ยังอยู่ตรงนั้น หาได้ลอยเลื่อนเคลื่อนย้าย เป็นเราเองที่เคลื่อนที่ดุ่มเดินไปข้างหน้า จนไม่อาจย้อนคืนยังจุดเดิม เคยไหมสักขณะจิตหนึ่ง ที่เธอหมุนคว้างกลางทางแยกวกวน ณ จุดนั้นเธอเคยถามตัวเองบ้างไหม เธอมาไกลจากจุดเริ่มต้นไปเท่าใดแล้ว?
ความรู้สึกขณะด่ำดิ่งอยู่ในม่านหมอกแห่งความสุข กับความรู้สึกยามย้อนรำลึกถึงมัน หาใช่ความรู้สึกเดียวกันเลย ยิ่งก้าวไกลไปข้างหน้ามากเท่าใด หนามอันแหลมคมของความทรงจำหอมหวน จะคอยกรีดเฉือนดวงใจให้เป็นแผลเหวอะหวะเพิ่มเท่านั้น
นั่นล่ะเธอที่รัก คือสิ่งที่ความทรงจำกระทำต่อฉัน
ในหมอกม่านความทรงจำ
พฤศจิกาฯ 2554