ถ้าพูดถึงร้านหนังสือแสนรัก สมองเกลี้ยงๆ ไม่มีรอยยักอะไรซับซ้อนของฉันก็คงจะนึกถึงร้านหนังสือลูกผสมที่สวนจตุจักร ฉันรู้จักร้านนี้เพราะเจ้านายพาไปเลือกซื้อหนังสือเข้าร้าน หลังจากนั้น ว่างเมื่อไหร่ และมีเงินพอจะเจียดหาซื้อหนังสือมาอ่านสักสองสามเล่ม ฉันจะโฉบไปที่นั่นทันที

หนังสือในร้านมีทั้งเก่ากึ๊กและใหม่เอี่ยม บางเล่มสันขอบดำปี๊ดปี๋ขี้ฝุ่นเขรอะแทบจะไม่กล้าจับ อีกบางเล่มอยู่ในห่อพลาสติกอย่างดี น่ายลโฉมจิ้มลิ้มภายใน ฉันแอบคิดในใจว่าคนขายช่างลำเอียงเลือกที่รักมักที่ชังดีแท้ แต่ก็อย่างว่า ร้านหนังสือลูกผสมนี่นา ย่อมปะปนด้วยหนังสือหลากหลายประเภท และรูปแบบ

หนังสือใหม่จะครอบครองแผงหน้าร้านไปทั้งแถบ เป็นสง่าราศีให้ร้านอยู่มากโข หนังสือในส่วนนี้ไม่พ้นพวกนิยายรักหลากรสชาติที่อ่านแล้วกะเทาะใจให้ไหวหวาม ฉันมักจะเดินผ่านพวกมันไปโดยไม่เหลือบแลแม้ชายหางตา ใช่ว่ากระแดะหัวสูงคิดหยามเหยียดนิยายประเภทนี้แต่อย่างใด แต่เพราะแต่ละเล่มสนนราคามหาศาลถ้าเทียบกับเงินในกระเป๋าซึ่งมีอยู่กระจ้อยริด แม้ใจจะดูดดึงให้เท้าแวะจอด แต่รู้ดีว่าให้ยังไงก็ไม่อาจหักใจกรีดเฉือนเลือดเนื้อตัวเองได้ลงคอ

ด้านในจะเป็นพื้นที่สำหรับหนังสือมือสองประดามี กองสุมเป็นตั้งสูงท่วมหัวหลายตั้ง วางเรียงติดกันเป็นแถวยาว เบียดบังกันสองแถวบ้างสามแถวบ้างแล้วแต่เจ้าของจะมีแก่ใจวางตั้งแต่มันเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ จะเลือกหนังสือแต่ละครั้งต้องกรีดนิ้วไล่สายตาหาไปเรื่อยๆ จากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน เวียนซ้ำไปสลับมา ผลุบแถวโน้นโผล่แถวนี้ ซอกแซกสายตาเข้าในหลืบเท่าช่องสันหนังสือหนาร้อยหน้า ด้วยคาดหวังว่าอาจจะเจอหนังสือทรงคุณค่าที่เหล่านักอ่านต่างสรรเสริญเยินยอ ซ่อนอยู่ในหลืบลี้ลับ ความรู้สึกไม่ต่างตามล่าหาอภิมหาสมบัติสมัยวัยเยาว์ ถ้าตาดีอาจได้หนังสือน่าอ่านคุณภาพดีคล้ายเพิ่งผ่านคนอ่านมาแค่มือเดียว แต่ราคาย่อมเยาเหมือนได้เปล่าติดมือกลับบ้าน ออกจากร้านหลังจะตรงแหน่ว คอตั้งเชิดบ่า ราวกับจะประกาศให้โลกรู้ว่าฉันนี่แหละคือผู้พิชิตขุมทรัพย์อันลือลั่นสนั่นโลก และรอยยิ้มจะปริ่มเต็มหน้า เจอต้นไม้ใบหญ้าก็ยิ้ม เจอนกหนูก็ยิ้ม เจอหมาขี้เรื้อนนอนหลับข้างกองขยะกลิ่นชวนคลื่นเหียนโชยคลุ้งก็ยิ้ม

ในร้านหนังสือมีคนดูแลสองคน ฉันไม่ค่อยสนิทกับคุณป้าเท่ากับคุณลุงอายุประมาณห้าสิบห้าไม่ก็หกสิบ เพราะคุณลุงจะนั่งประจำยังโต๊ะด้านในคอยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่มาเลือกหนังสือเก่าๆ ในร้าน ฉันจะเห็นแกนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ไปเรื่อยๆ ช่วงเที่ยงก็กินข้าวกินขนมอยู่ตรงนั้น มีแมวลายขาวดำคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ร้องเหมียวๆ ให้แกเงยหน้ามองเสียที ลุงจะขยับลุกก็ต่อเมื่อฉันเจอหนังสือเล่มที่น่าสนใจ แกเป็นคนช่วยยกตั้งสูงๆ และหยิบหนังสือออกให้ เพราะถ้าปล่อยให้ฉันปล้ำดึงออกมาเองมีหวังทั้งตั้งสูงนั้นคงได้ร่วงลงมาท่วมหัวเป็นแน่

ครั้งสุดท้ายที่ฉันไปร้านหนังสือแห่งนั้นเพื่อเป็นนักผจญภัยตามล่าสมบัติอันเลอค่า ความตั้งใจฉันเกินร้อย ความสุขและความหวังฉายชัดในดวงตา ออกจากห้องพักฉันยิ้มให้กับท้องฟ้าสดใส รู้สึกว่าอากาศในวันนั้นช่างดีเหลือเกิน ความวุ่นวายจอแจที่ฉันแสนเกลียด ฉันกลับรู้สึกว่ามันน่ารักน่าชังเมื่อมองผ่านกรอบสี่เหลี่ยมของช่องหน้าต่างรถเมล์ร่วมบริการชนิดธรรมดา ฉันลงรถหน้าสวนจตุจักรแล้วเดินต่อไปเข้าประตูที่เคยเปิดกว้างต้อนรับฉันทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าประตูสวนจตุจักรปิดทุกวันจันทร์ ไม่นานที่ยืนอึ้ง งง และเอ๋อ สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเลียบรั้วไปเรื่อยๆ เส้นทางใหม่กับบรรยากาศใหม่ๆ ชวนให้เพลิดเพลินไม่น้อย ครู่เดียวก็ถึงช่องทางเข้าเล็กๆ

ร้านหนังสือเปิดทุกวัน จำได้ว่าคนขายเคยบอกไว้อย่างนี้ เมื่อเข้ามาจึงพบว่าเป็นจริงตามนั้น ร้านหนังสือเปิดให้บริการลูกค้าเกือบทุกร้าน ฉันแวะร้านโน้นออกร้านนี้ เทียวไปร้านนั้นเช่นทุกครั้งที่ฉันมา แต่ไม่มีหนังสือเล่มไหนจะติดมือมาด้วย เพราะที่นี่แค่ทางผ่าน ขุมทรัพย์ของฉันต้องไปอีกนิด ฉันออกจากร้านหนังสือในรั้วจตุจักรหวังข้ามฟากไปยังอีกฝั่ง แต่แค่เหยียบบันไดสามสี่ขั้นนั้นมายืนบนฟุตบาธได้ฉันก็ต้องอึ้งตะลึงตะไล ยืนนิ่งขึงอยู่ตรงนั้นไม่อาจขยับเขยื้อนตัว ราวร่างกายกลายเป็นหินแข็งทื่อ

อีกฟากฝั่งถนน ครั้งหนึ่งเคยมีร้านรวงเรียงรายนับสิบร้าน มีตรอกเล็กๆ ให้เวียนผลุบโผล่ บัดนั้นเหลือแต่ที่เตียนโล่งล้อมรอบอาณาเขตด้วยแผ่นสังกะสี เสมือนว่ามันไม่เคยมีร้านใดๆ ตั้งอยู่ตรงนั้น และเสมือนว่าแหล่งซ่อนสมบัติของฉันมันจะเคยอยู่แค่ในความฝันของฉันเท่านั้นเอง

หลังสอบถามได้คำตอบฉันกลับมานั่งยังป้ายรถเมล์มองพื้นที่เตียนโล่งฝั่งตรงข้ามนั้นนับนาน ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งวนเวียนไล่กรีดนิ้วหนังสือตามแถวต่างๆ เห็นลุงเจ้าของร้านนั่งอ่านหนังสือ ได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษดังมาแว่วๆ เห็นแมวลายขาวดำเดินพันแข้งพันขาผู้หญิงคนนั้นพลางส่งเสียงร้องเหมียวๆ ให้ลุงเงยหน้าขึ้นมามองแล้วก้มลงอ่านหนังสือในมือต่อ

อีกครั้งที่ฉันได้ตระหนักว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรจีรัง ทุกอย่างดำรงอยู่ชั่วครู่ยามให้ผูกพันแล้วดับสูญ วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันล้มเหลวกับภารกิจตามล่าหาสมบัติ และฉันไม่กะจิตกะใจยิ้มให้กับโลกรอบตัว


*กิจกรรม 'ร้านหนังสือแสนรัก'
นิทานก่อนนอน : เจ้าหญิงน้อยกับน้องกระต่ายแสนรัก

กาลครั้งหนึ่งนานมานักหนาแล้ว มีเมืองวิจิตรตระการเมืองหนึ่ง มีพระราชา พระราชินีเป็นผู้ครองนคร ทั้งสองมีพระราชธิดาเป็นเจ้าหญิงองค์น้อย

วันหนึ่งภายในพระราชวังมีงานสมโภชรื่นเริง พระราชาและพระราชินีจูงแขนธิดาน้อยไปเที่ยวชมงาน พระธิดาทรงทอดพระเนตรเห็นกระต่ายขาวตัวหนึ่ง พลันทรงนึกอยากเลี้ยง จึงทรงอ้อนวอนขอต่อพระบิดา แต่พระราชาทรงเห็นว่าพระธิดายังเยาว์วัยนัก ความรับผิดชอบรึก็ยังน้อยนิด จะให้เลี้ยงสัตว์เห็นจะไม่เป็นการควร แต่เจ้าหญิงน้อยแม้ยังเยาว์ชันษาก็มีพระปรีชาฉลาดล้ำ เมื่อทรงรู้ว่าพระบิดาไม่อนุญาตแน่แล้ว เธอก็ทิ้งตัวลงนอนชักแหง็กๆ ๆ ๆ อยู่บนพื้นต่อหน้าธารกำนัลตรงนั้นไม่ยอมลุก เหล่าประชาชนพากันเมียงมองให้ความสนใจ จนพระราชาไม่อาจนิ่งอยู่เฉย จำใจต้องอนุญาต โดยขอสัญญาต่อเจ้าหญิงน้อยว่า เจ้าหญิงน้อยต้องให้อาหารเจ้ากระต่ายทุกวัน เจ้าหญิงฉีกยิ้มบานแฉ่งพยักหน้าหงึกๆ และวันนั้นเจ้าหญิงน้อยก็ได้จูงน้องกระต่ายกลับพระตำหนัก (ลีลาชักแหง็กๆ ๆ ๆ ของเจ้าหญิงน้อยในวันนั้น มีคนหัวใสนำไปดัดแปลงเป็นท่าเต้นแรพที่โด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้)

เจ้าหญิงน้อยรักและทะนุถนอมน้องกระต่ายมาก ทรงดูแลอย่างดี ให้อาหารทุกวันไม่เคยขาด (อ้อ...ดูเหมือนจะลืมบอกไปหน่อย เจ้ากระต่ายตัวนี้พิเศษกว่ากระต่ายทั่วไป ตรงที่มันกินแต่เหรียญเงินและเหรียญทองเป็นอาหารเท่านั้น) ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเจ้ากระต่ายน้อยยิ่งอ้วนท้วนสมบูรณ์ จนเจ้าหญิงไม่อาจยกอุ้มได้อีกต่อไป

วันหนึ่งเจ้าหญิงต้องเสด็จประพาสต่างพระนคร เพราะไม่อาจยกน้องกระต่ายขึ้นอุ้มพาไปไหนด้วยได้ จึงทรงฝากฝังให้พระบิดาและพระมารดาช่วยดูแลน้องกระต่ายน้อย ทั้งสองพระองค์รับปากเป็นมั่นเหมาะ เจ้าหญิงน้อยจึงวางพระทัย เที่ยวเล่นอย่างสราญบานเบิก

แต่แล้วเมื่อกลับมาถึงพระราชวัง เจ้าหญิงน้อยต้องหัวใจแหลกสลาย เพราะน้องกระต่ายน้อยแสนรักโดนฆาตกรรมอย่างอำมหิตโหด**ม เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ(นำทีมโดยแพทย์หญิงคุณหญิงพรพิษ)ระบุว่าเจ้าโจรใจโฉดใช้ไม้หน้าสามทุบน้องกระต่ายจนหัวแบะ และใช้ดาบซามูไรคว้านท้องขโมยเหรียญเงินเหรียญทองในท้องของน้องกระต่ายไปจนหมดสิ้น

ยิ่งได้ฟังเจ้าหญิงน้อยยิ่งโศกาอาดูรจนไม่เป็นอันกินอันนอน แต่แล้ววันหนึ่งเจ้าหญิงน้อยทรงคิดได้ว่าไม่ควรปล่อยให้เจ้าฆาตกรลอยนวลอยู่ได้ ทรงสลัดความทุกข์ตรม ออกว่าการในท้องพระโรง สอบสวนทุกคนในพระราชวังด้วยพระองค์เอง แต่ไม่ว่าจะสอบสวนใครต่อใครก็ไม่อาจจับมือใครดมได้ จึงส่งราชองครักษ์ฝีมือเยี่ยมออกสืบหาตัวคนร้ายไปทั่วทุกหัวระแหง แต่สุดท้ายเหล่าราชองครักษ์มากฝีมือเหล่านั้นก็คว้าน้ำเหลวกลับมา(ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเจ้าองครักษ์ต้องคว้าน้ำเหลว บางทีเจ้าพวกนั้นอาจคว้าน้ำแข็งมาก็ได้ แต่กว่าจะเดินทางกลับถึงพระราชวัง น้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำเหลวไปหมดแล้ว – เจ้าหญิงน้อยทรงพระเดา)

ผ่านไปวันแล้ววันเล่าความเศร้าใจเริ่มคลายลงบ้าง แต่ความคิดถึงทำให้เจ้าหญิงน้อยยังคงรำพึงรำพันถึงน้องกระต่ายอยู่ไม่เว้นวาย แต่ทรงไม่เข้าใจเลยว่ายามใดที่พระองค์รำพึงรำพันถึงน้องกระต่ายต่อหน้าพระบิดาและพระมารดาคราใด ไยทั้งสองพระองค์ถึงได้มีท่าทีอึกๆ อักๆ ไม่กล้าสบตาเจ้าหญิงน้อย บางทีตามใบหน้าตามตัวพระบิดาและพระมารดาก็มีเหงื่อแตกด้วย เจ้าหญิงน้อยไม่เข้าใจเลย

จนถึงเดี๋ยวนี้เจ้าหญิงน้อยก็ยังไม่อาจหาตัวฆาตกรที่ฆาตกรรมน้องกระต่ายแสนรักได้ และเจ้าหญิงน้อยก็ยังคิดถึงน้องกระต่ายน้อยอยู่เสมอ





นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...




ยอดปิยมิตรผู้ไม่เคยห่างหายไปจากดวงใจ

จดหมายฉบับแรกในรอบหลายเดือนนี้คงทำให้เธอประหลาดใจไม่น้อย ฉันส่งจดหมายมาด้วยความระลึกถึงอยู่ไม่รู้คลาย ที่ห่างหายไปใช่ว่าฉันจะลืมเธอแล้ว มีเหตุผลร้อยพันล้านแปดอยู่ในนั้น แต่จะมีประโยชน์อันใดที่จะนำมาอธิบายให้เธอฟัง ในเมื่อฉันรู้ดีอยู่แก่ใจว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง

เธอที่รัก ฉันใช้ชีวิตเพียงลำพังมาร่วมสองเดือน ชีวิตเดียวดายบนดวงดาวนี้ไม่ยากลำบากและอ้างว้างเกินไปนัก ฉันยังดำรงตนอยู่ในรูปแบบอันเป็นมา ให้เวลากับสิ่งที่รักเหนือสิ่งใด ตัวอักษรของฉันโลดแล่นเริงร่าอยู่ในทุ่งฝันอันสะพรั่งพราว ยังมีสิ่งใดทำให้ดวงใจอิ่มเอิบปลาบปลื้มได้มากกว่านี้อีกหรือ สำหรับนักฝันผู้มั่นฝากฝังตนไว้กับการจดจารอักษร

ที่รักแห่งฉัน ขอเธอจงรู้ แม้ฉันไม่มีถ้อยอักษรถึงเธอในรูปจดหมาย แต่ทุกตัวอักษรที่กลั่นร้อยเรียงจากหนึ่งดวงใจ...ฉันเขียนเพื่อเธอ

ดวงดาวของฉันเข้าฤดูเหน็บหนาว หลายเดือนมานี้อากาศหนาวเย็นแวะเวียนมากี่รอบฉันก็ขี้เกียจจะนับ มาเพียงแวบๆ แล้วจากไป สองสามวันก็แวะมาอีก ฉันชอบจังอากาศหนาว มันทำให้โลกใบน้อยของฉันหมุนช้าลง มันทำให้ดวงตาที่ฉันมองโลกอ่อนโยนขึ้น ในความหนาวเปี่ยมด้วยความอบอุ่น ไม่รู้มันมาจากไหน แต่ฉันรู้ มันมีอยู่

ต้นไม้ริมระเบียงสดใสทุกต้น คงไม่เกี่ยวกับอากาศหนาว อยู่ที่ความใส่ใจของคนดูแลมากกว่า ฉันรดน้ำต้นไม้ทุกวัน รู้สึกดีที่มีพวกมัน มีความสุขที่ได้เห็นมัน ทุกครั้งเมื่อมองพวกมันฉันมองด้วยดวงตาแห่งรัก ฉันคิดว่าพวกมันคงรับรู้ได้ ถึงได้ดูสดใสเบิกบานกันเช่นนั้น

ไม้แขวนสองต้นที่ตอนแรกจะตายมิตายแหล่ ได้รับการประคบประหงมจนผ่านพ้นวิกฤตมาแล้ว เริ่มผลิใบใหม่เขียวสดมาล้อลมหนาว ซากระย้าย้อยของมันยังคาต้น มองดูคราใดก็อดคิดไม่ได้ว่า ในช่วงเวลาเหล่านั้นมันผ่านมาได้อย่างไร มันจะมีความรู้สึกนึกคิดเจ็บปวด ทดท้อ ปล่อยให้ชีวิตตนไหลไปตามยถากรรมบ้างไหม หรือที่มันมีชีวิตจนผลิใบใหม่มาได้นั้น เพราะมันได้ต่อสู้ยื้อยุดชีวิตมาเต็มกำลังของมันแล้ว

จะอย่างไรมันก็ยังมีชีวิต เป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่เหี่ยวแห้ง ยามขาดน้ำ ขาดอาหาร และเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่ผลิใบเมื่อมีเรี่ยวแรงให้ผลิ

ฉันหวังจะเป็นเช่นนั้น เป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่เซาซบเมื่อโอกาสและปัจจัยไม่เอื้ออำนวย แต่ยังเข้มแข็ง รอวันเวลาแตกใบใหม่มาแต้มโลก

ฉันหวังจะเป็นเช่นนั้น


คิดถึงอยู่มิรู้คลาย
หญิงสาวบนดาวสีน้ำเงิน
กลางธันวาฯ 2553