เพื่อนต่างดาวของฉัน

ฉันเข้าใจมิตรภาพบนดาวของเธอแล้ว ทั้งหมดนั้นล้วนยืนอยู่บนพื้นฐานของความธรรมดาสามัญ ที่คนบนดาวของฉันหลงลืมไปเสียสิ้น ที่นี่เราวิ่งไขว่คว้าความเจริญ สู่ความก้าวหน้าทุกรูปแบบ จนอนุชนรุ่นหลังไม่รู้จักคุณค่าพื้นฐานของชีวิต คุณค่าที่รวมองค์ประกอบหลายๆ อย่างไว้ด้วยกัน องค์ประกอบที่คนบนดาวของฉันเห็นว่ามันไร้ความหมาย และไม่คู่ควรที่จะให้ความสนใจ

สิ่งที่เราทอดทิ้งคือความเรียบง่ายของการดำรงอยู่

อย่างที่เธอเห็นฉันจดจำวันเวลา เพราะเราให้ความสำคัญกับสิ่งที่วัดค่าได้ เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่จับต้องได้ ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผลพวงจากการรุดไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของดาวดวงนี้ มันทำให้ผู้คนที่นี่จิตใจหยาบกระด้างขึ้น เหมือนที่เธออาจสัมผัสได้ในจดหมายบางฉบับของฉัน

ฉันดีใจที่รู้ว่าดาวของเธอยังคงโคจรไปเรียบเรื่อยตามวิถีทางของมัน ไม่บ้าคลั่งอย่างที่ดาวของฉันได้ประสบมา

เพราะนั่นหมายความว่าสรรพชีวิตยังคงสอดประสานกันเหนียวแน่นและลงตัว ทุกอย่างล้วนเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันด้วยมิตรไมตรีดีงาม ไม่มีใครสำคัญกว่าใคร ไม่มีสิ่งใดเหนือค่ากว่าสิ่งใด มันคือความเท่าเทียมที่ทรงคุณค่ายิ่ง เพราะสรรพชีวิตทั้งหลายมิได้ดำรงตนอยู่เพียงเพื่อตนเอง หากดำรงอยู่เพื่อเกื้อกูลทุกสรรพชีวิตที่รายล้อม

ถ้าเพียงแค่เราไม่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่สวนรวมให้มากเข้าไว้ ความสงบสุขแห่งชีวิตจะไปไหนเสีย

แต่บนดาวของฉันมิได้เป็นเช่นนั้น

ที่นี่มนุษย์สำคัญกว่าทุกสิ่ง เรากระทำย่ำยีกับสิ่งอื่นได้โดยชอบธรรม ธรรมชาติ ป่าไม้ ขุนเขา ก้อนกรวด เม็ดทราย จะไม่มีค่าอะไรเลย เมื่อเทียบกับมนุษย์แม้เพียงชีวิตเดียว

และเหนือกว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ด้วยกัน

การมีชีวิตอยู่เหนือกว่ามนุษย์ทุกตัวตน นั่นคือเกียรติยศสูงสุดของการมีชีวิตอยู่ หลายคนของที่นี่จึงไล่ล่าเกียรติยศนั้น แม้ต้องเหยียบย่ำใครบ้างก็ไม่มีใครสนใจ มีคำกล่าวหนึ่งที่ฉันพอจะนึกออกขณะนี้

‘ปลาใหญ่กินปลาเล็ก’

มันหมายความว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้อ่อนแอย่อมถูกผู้แข็งแกร่งกว่ากลืนกิน

พวกเราจึงมีชีวิตอยู่แบบปัจเจก เราจะมีปฏิสัมพันธ์กับใครก็ต่อเมื่อเรามั่นใจว่าจะได้ผลประโยชน์จากผู้นั้นเท่านั้น

...นี่แหละชีวิตบนดาวของฉัน...

ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้คิดเกี่ยวกับการสื่อสารด้วยพลังชีวิตของกันและกัน ฉันจะระลึกไว้เสมอว่าบนพื้นฐานของธรรมดาสามัญทุกสรรพชีวิตทรงคุณค่าเท่าเทียม และนอกจากมนุษย์ที่เอาแต่ชิงดีชิงเด่นด้วยกันแล้ว ทุกอย่างรอบตัวล้วนมีชีวิต มีวิญญาณ ไว้ให้เราสื่อถ้อยสดับสารแม้มิพักกล่าววาจา แต่สัมผัสได้ถึงหัวใจว่าเรามิได้ดำรงอยู่เพียงเปลี่ยวดาย ยังมีหลากหลายชีวิตรายล้อมเกื้อกูลเราอยู่ในที่ทางของตนเอง

ฉันจะมองสิ่งรอบตัวด้วยความนึกคิดใหม่

ระลึกถึง
กรกฎาฯ ๒๕๕๒

@ จดหมายจากดาวสีดิน : ช่องว่าง

2 Responses
  1. DiN Says:

    เสาร์สวัสดิ์ทั่น

    ไม่รู้เน็ตเป็นอะไร ข้าพเจ้าเปิดอะไรไม่ขึ้นเลยเว้นแต่ของ Google ไปไหนไม่ได้เหมือนถูกล่ามโยงเสา ได้แต่ร้องมอ

    ตั้งแต่เปลี่ยนมาใช้ gprs ของ true กลับร้ายกว่าเก่า หลังห้าโมงเย็นเปิดได้บ้างไม่ได้บ้าง (ค่อนไปทางไม่ได้)(ของเก่า (one2call)แค่ช้า) ซ้ำยังเพิ่มอาการที่ไม่เคยพบมาก่อนนี่อีก ท่านรู้ราคาของ dtac บ้างไหม? คิด gprs อย่างไร?

    วันเสาร์ท่านคงอยู่ที่ทำงาน ไม่ทราบซ่อมคอมพ์หรือยัง แต่น่าจะซ่อมแล้วนะเพราะเดี๋ยวนี้คอมพ์กับออฟฟิศแยกกันไม่ออก ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะได้มีท่านมานั่งคุยให้ฟัง

    เห็นท่านผลุบศีรษะเขียนอยู่กับบ้านก็ให้รู้สึกดี

    ข้าพเจ้าคงฝึกมาผิดทิศผิดทาง เพราะเริ่มจากโพสท์บอร์ดหนอน นั่งเขียนทุกวันทีละตอน มีสหายหนอนคอยเจอะแจะ ข้าพเจ้าเห็นเป็นสนุก เขียนไปเรื่อย ถึงเวลานี้แม้ก้าวพ้นกับดักที่ติดอยู่กับคนอ่าน วูบวาบอยู่กับจำนวนคอมเม้นท์ มั่นใจว่าต่อให้ไม่มีคอมเม้นต์สักหน่อก็ยังเขียนไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่รู้สึกรู้สา

    แต่ยังติดอยู่กับเขียนแล้วโพสท์ เขียนแล้วโพสท์ ไม่โพสท์บอร์ดโพสท์บล็อกก็ยังดี (ท่าจะโรคจิต)

    ทำให้เน็ตเหมือนเป็นองคาพยพชีวิตด้านขีดเขียนของข้าพเจ้า ขาดไปเมื่อไรรู้สึกคล้ายตัวเองเป็นไอ้ทุยร้องมออยู่ชายทุ่ง (ท่านคงเข้าใจไอ้ทุยที่ถึงจะร้องมอ ก็อยากให้เป็นมอมิวสิกของอัสนี-วสันต์นะขะรับ)

    การเขียนอยู่กับบ้านโดยไม่โยงใยสัมพันธภาพกับเน็ต เป็นสิ่งข้าพเจ้ายังคิดไม่ออก เคยลองแล้วรู้สึกไม่สนุก เห็นท่านก็ได้แต่ผงกศีรษะหงึก ๆ ชมชอบแต่ไม่อาจกระทำ ปลอบใจตนไปว่าฝึกมาอย่างนี้ก็เขียนไปอย่างนี้ ไม่เป็นไรดอกนา..เขียนให้จบละกัลล์

    ขอบคุณชะลอมอักษรไปทิ้งไว้นอกชานขนำ (คิดตอบหลายคราติดที่ต้องเขียนอหังการ์ เวลาจึงสิ้นไป)

    โดยเฉพาะคำข้องคาใจเหล่านั้น

    ถึงวันนี้ข้าพเจ้ายินยอมทำใจแล้วขอรับ ฝึกมาร่วมสี่ปี ยังมีคำที่ข้าพเจ้าผิด (ทั้งที่ติดปากผิดโดยไม่รู้ และทั้งที่เขียนไม่ถูกจริง ๆ) ตัวอย่างเร็วนี้ก็คือคำ 'พะอีดพะอม' ข้าพเจ้าเขียนเป็น 'ผะอืดผะอม' เขียนโดยมั่นใจ ก็เพราะออกเสียงมาอย่างนี้ ท่านจินได้ช่วยไว้ (ข้าพเจ้าคงจดจำใบหน้าการุณยเมตตาท่านจินไปพร้อมกับคำนี้ เหมือนเช่นจำท่านพร้อมกับคำ 'เล็ดลอด' (ท่านเมตตาไว้ตอนเขียนแม่สไบทอง จำได้ไหม?)

    ผิดโดยไม่รู้ยังพอทำเนา แต่ผิดโดยจำมาผิดและมั่นใจว่าถูกนี่สิ..แย่จริง!

    ไม่รู้ยังขวนขวายหาให้รู้ แต่คิดว่าถูก มีแต่ผิดไปเรื่อย โดยมากก็จดจำมาจากที่อ่านนั่นแลขะรับ ถึงทุกวันนี้ก็ยังมีบรรณาธิการปล่อยผ่านตัวอักษรผิดพลาดออกสู่สาธารณะ ตัวอย่างคือคำทั้งหมดที่ท่านยกมานั่นแล ฐานะคนอ่านข้าพเจ้าพบ 'พาน' และ 'พาล' ใช้ปนให้สับสนไปหมด ครั้นจะเขียนขึ้นมาจึงไม่รู้ว่าตัวไหนกันแน่ (ความหมายที่ท่านยกมา ใช้ 'พาน' ขอรับ)

    เมื่อคิดเดินไปบนหนทางสายนี้จึงต้องเอาใจใส่ให้มาก ไม่สานต่อจุดพร่องที่บางผู้คนซึ่งทำมาหารับทานกับตัวหนังสือเคยก่อไว้

    หากเป็นไปได้รบกวนนำทุกคำที่ท่านค้นมาแหมะไว้ที่ขนำด้วยเถิดขอรับ อย่างน้อยได้เก็บไว้เตือนใจ และข้าพเจ้ามั่นใจว่าต้องอีกมีหลายคำที่ข้าพเจ้ายังไม่รู้หรือเข้าใจผิด

    ยินยอมทำใจแล้วขอรับ ว่าต่อให้เขียนหนังสือไปอีกสิบปี ยังต้องมีคำที่เขียนผิดอยู่แน่ ๆ (ท่านเชื่อเช่นนี้ไหม?)

    ขอแค่เรารู้เปิดใจแก้ตลอดเวลา แลกเปลี่ยนกันไปมา ถึงเป็นกบในกะลา ก็ขอเป็นกบที่ตามองดาว ไม่เป็นกบที่เอาแต่ซุกหัวงุด ๆ

    ทักษะต่าง ๆ ที่ถูกปรับปรุงมา ข้าพเจ้าล้วนได้มาจากสหายบนเน็ต กล่าวเช่นนี้ท่านคงเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้น้อยจึงโรคจิต เขียนแล้วโพสท์ เขียนแล้วโพสท์..

    มีความสุขกับงานวันนี้ขอรับท่านสายที่เคารพรัก

    ดินเดิม


  2. DiN Says:

    แหะ แหะ จะรีบกินข้าว (เลยเวลากินมาเยอะ เฉือกลืมหุง) ไม่ได้ทวนเลยผิดเพียบ

    เจอะแจะ --> เจ๊าะแจ๊ะ
    ต้องอีกมี --> ต้องมีอีก


แสดงความคิดเห็น