๏ ปางน้องรักพี่ฤดีถ้วนเทวษถวิล
เหมือนพสุธาโอบเอื้อเกื้อชีวิน
รักดารินเกินจันทร์จะกั้นกลาง
เหมือนน้ำค้างหยาดเกล็ดเป็นเพชรใส
รักเรียวหญ้าโล้ใบเกินใครขวาง
สายลมแผ่วยังพลิ้วมาบางบาง
รักโลกกว้างทางเถื่อนมิเลือนลา
คณนากว่าประมาณเกินการณ์คิด
จะลิขิตก็เกินถ้อยร้อยภาษา
จนคำกล่าวสาวเค้นเป็นวาจา
อย่าเมินหน้าหมางหมองไม่มองเมียง
หากบินได้เหมือนผีเสื้ออะเคื้อทุ่ง
จะโฉบปีกร่ายฟุ้งทั่วทุ่งเถียง
พาพี่ร่อนลมไปคู่ใจเคียง
สู่วังเวียงถิ่นแถนเยี่ยมแดนฟ้า
นี่เพียงกายหมายมั่นก็บั่นสิ้น
แค่ลมลิ้นฤาซ่านซึ้งคะนึงหา
เพียงสองแขนก็ยากแม้นจะไขว่คว้า
ร้าวอุรารุ่มร้อนรอนฤทัย
ต่อแต่นี้คงจมทุกข์ถวิล
ไม่สุดสิ้นสายรักให้ผลักไส
ยากตัดเยื่อร้างสวาทอนาถใจ
จะมีไหมทุกข์ทั้งแหล่เกินแต่นี้
ห่างเหลือเกินระยะทางมาพรางพราก
ให้ทุกข์ยากด้วยจิตคิดถึงพี่
กายห่างไกลอย่างไรมิไยดี
เพียงรักนี้คล้องใจมิไกลกัน
วิบากกรรมไฉนในชาติก่อน
ถึงยอกย้อนซ้อนมาดั่งอาถรรพ์
คงเป็นบาปหนักแท้แต่ปางบรรพ์
ตามลงทัณฑ์ทุกข์ทนถึงหนนี้
โอ้ ดวงใจไม่สิ้นไร้อาลัยรัก
เฝ้าฟูมฟักสมัครมั่นไม่ผันหนี
หลงคำหวานผ่านพจน์บทกวี
แม้นคนดีลวงสิ้นด้วยลิ้นลวง
สุดแต่ใจของพี่ปรานีน้อง
จะสนองปองสมัครให้รักล่วง
หรือสะบั้นบั่นทิ้งทุกสิ่งปวง
ก็ไม่ทวงถามไถ่ใจจำนน
ด้วยเพราะรักจึงสมัครจักสมาน
แม้นจะนานกาลเปลี่ยนเวียนกี่หน
ดวงใจหนึ่งซึ้งซับรับทุกข์ทน
ยังมากล้นสายใยแก้วใจเอยฯ
@ เรไรร่อนร้อง : ปางพี่รักเจ้า
เหมือนพสุธาโอบเอื้อเกื้อชีวิน
รักดารินเกินจันทร์จะกั้นกลาง
เหมือนน้ำค้างหยาดเกล็ดเป็นเพชรใส
รักเรียวหญ้าโล้ใบเกินใครขวาง
สายลมแผ่วยังพลิ้วมาบางบาง
รักโลกกว้างทางเถื่อนมิเลือนลา
คณนากว่าประมาณเกินการณ์คิด
จะลิขิตก็เกินถ้อยร้อยภาษา
จนคำกล่าวสาวเค้นเป็นวาจา
อย่าเมินหน้าหมางหมองไม่มองเมียง
หากบินได้เหมือนผีเสื้ออะเคื้อทุ่ง
จะโฉบปีกร่ายฟุ้งทั่วทุ่งเถียง
พาพี่ร่อนลมไปคู่ใจเคียง
สู่วังเวียงถิ่นแถนเยี่ยมแดนฟ้า
นี่เพียงกายหมายมั่นก็บั่นสิ้น
แค่ลมลิ้นฤาซ่านซึ้งคะนึงหา
เพียงสองแขนก็ยากแม้นจะไขว่คว้า
ร้าวอุรารุ่มร้อนรอนฤทัย
ต่อแต่นี้คงจมทุกข์ถวิล
ไม่สุดสิ้นสายรักให้ผลักไส
ยากตัดเยื่อร้างสวาทอนาถใจ
จะมีไหมทุกข์ทั้งแหล่เกินแต่นี้
ห่างเหลือเกินระยะทางมาพรางพราก
ให้ทุกข์ยากด้วยจิตคิดถึงพี่
กายห่างไกลอย่างไรมิไยดี
เพียงรักนี้คล้องใจมิไกลกัน
วิบากกรรมไฉนในชาติก่อน
ถึงยอกย้อนซ้อนมาดั่งอาถรรพ์
คงเป็นบาปหนักแท้แต่ปางบรรพ์
ตามลงทัณฑ์ทุกข์ทนถึงหนนี้
โอ้ ดวงใจไม่สิ้นไร้อาลัยรัก
เฝ้าฟูมฟักสมัครมั่นไม่ผันหนี
หลงคำหวานผ่านพจน์บทกวี
แม้นคนดีลวงสิ้นด้วยลิ้นลวง
สุดแต่ใจของพี่ปรานีน้อง
จะสนองปองสมัครให้รักล่วง
หรือสะบั้นบั่นทิ้งทุกสิ่งปวง
ก็ไม่ทวงถามไถ่ใจจำนน
ด้วยเพราะรักจึงสมัครจักสมาน
แม้นจะนานกาลเปลี่ยนเวียนกี่หน
ดวงใจหนึ่งซึ้งซับรับทุกข์ทน
ยังมากล้นสายใยแก้วใจเอยฯ
@ เรไรร่อนร้อง : ปางพี่รักเจ้า
จิ้งหรีดระงมทุ่งสวัสดิ์ขอรับ
(ไยภาพจึงอลังการหยั่งงี้ล่ะทั่น ใส่โค้ดกำหนดความกว้างลดขนาดสิขะรับ)
ไม่ได้มาคุยกะท่านเสียหลายวัน ใช่เพียงมาคุยกะท่าน กระทั่งบล็อกสหายก็ไม่มีกะใจโผล่ไป
หนึ่งเดือนมานี่ มีก็ค่ำนี้ล่ะขะรับเบาสมองที่สุด จบตอนของอหังการ์มีอยู่ในหัวเรียบร้อยแล้ว เหลือก็แค่เขียนออกมา แต่ก่อนหน้า แทบทุกวันต้องนั่งกุมขมับ ไปต่ออย่างไรดี? ตรงนั้นสมเหตุผล ตรงนี้ไม่สมผลเหตุ บางวันนั่งจ้องจอไม่ได้สักประโยค เพราะคิดเรื่องไม่ออก เขียนตอนหนึ่งผ่านไป วันพรุ่งผจญกับตอนใหม่ต่อ วนเวียนอยู่อย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ประสาใหม่ละอ่อนขอรับ สักวันหากชำนาญสร้างเรื่องในขมองแจ่มชัด คงไม่ต้องเปลืองกำลังงานขนาดนี้
หนึ่งเดือนเต็ม ที่ไม่ได้โผล่ไปอ่านอะไรเลย บล็อกก็ไม่ได้เขียนได้อัพ มาตรแม้นได้นิยายกำลังภายในมาหนึ่งตอน แต่ข้าพเจ้าก็ยังถือว่าล้มเหลว เพราะไม่สามารถรักษาสมดุลของกิจวัตร
โชคดีที่ท่านก็เป็นคนเขียนนิยาย เข้าใจเมื่อหันไปทุ่มเทให้นิยายแล้วยากหาช่วงเวลาปลีกใจจัดการกิจอื่น ยามท่านลับหน้าหายตาไป ข้าพเจ้าก็หาได้รู้สึกรู้สา เพราะรู้ว่าท่านไปเขียนนิยาย (ที่ท่านวงเล็บไว้ว่าคุยเล่นไม่ต้องตอบนั้น เป็นพระคุณเกินหาคำทดแทน ช่วยข้าพเจ้าเพลินอ่านคำท่านโดยไม่ต้องรู้สึกติดค้างว่า ไม่มีปัญญาตอบ เพราะนิยายยังคาอยู่ในกะโหลก)
เห็นรูปแบบชีวิตท่านยังเคยนึกอิจฉา
สิ่งข้าพเจ้าต้องการไม่ใช่สรรพนามนำหน้าว่า 'นักเขียน' (ข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบคำนี้เอาเสียเลย) (เคยถูกคนปากบอนแขวะในบล็อกสหายว่าข้าพเจ้า 'อยากเป็นนักเขียนจนตัวสั่น' ข้าพเจ้าล่ะอยากโดดชกหน้ามัน! ไม่ใช่ชกเพราะหมอปากบอนดอกขะรับ แต่เพราะให้เป็นนักอะไรอื่นก็ไม่ได้ ทะลึ่งแขวะให้เป็นนักเขียน)(เอาเข้าจริง ๆ ชกใครไม่เป็นดอกขะรับ ยกมือไหว้ล่ะพอได้)
ที่ต้องการก็คือรูปแบบชีวิต ชีวิตที่ทำงานอยู่กับบ้าน อยู่กับสิ่งที่ตนรัก ทั้งยังเป็นงานที่เอื้อคุณค่าต่อคนรอบข้าง (แค่บันเทิงเริงรมย์ข้าพเจ้าก็ถือว่าคือคุณค่าแล้วขะรับ)
เคยทดลองใช้ชีวิตมาหลายหลากรูปแบบ พบว่าตัวเองชอบทำงานคนเดียว งานที่เป็นโปรเจ็ค ทุ่มเทให้งานเป็นช่วง ๆ และเสร็จเป็นเรื่อง ๆ งานที่เห็นเป็นเนื้องาน ข้าพเจ้าจึงพอใจว่าเป็นงาน ไม่เคยสุขใจที่ทำงานชนิดไม่เห็นเนื้องาน เห็นเฉพาะตัวเลขในบัญชี (ท่านคงคิดออกนะ งานแบบนี้มีแยะ)
ไม่ใช่รังเกียจ หรือเลือกงานดอกขะรับ ทุกงานยังทรงคุณค่าในตัวเอง ขอเพียงเรากระทำด้วยเต็มกำลัง เต็มสามารถ และเต็มใจ
เพียงลองพิเคราะตนเอง เปรียบเทียบงานต่าง ๆ ที่ชีวิตเคยทดลองผ่านมา แล้วตอบตัวเองว่าชอบอย่างไหน..ถนัดใจกับประเภทไหน..เท่านั้น
(ต่อ)
งานเขียนจึงเป็นรูปแบบชีวิตที่ข้าพเจ้ามองหา
ติดอยู่ก็แต่งานชนิดนี้ต้องใช้เวลาเพาะบ่มนานเหลือเกินกว่าเลี้ยงปากท้อง ประคองตัวเองได้
แต่ก็ใช่ข้าพเจ้าจะทุกข์ทนอยู่กับการรอคอยนะขอรับ เพราะสิ่งข้าพเจ้าต้องการไม่ใช่เลี้ยงปากท้อง แต่เป็นรูปแบบชีวิต หากสามารถปรับโน่นนิดนี่หน่อยให้ลงตัว ข้าพเจ้าก็จะได้รูปแบบชีวิตที่ต้องการ ไม่ใช่ความฝัน ไม่ต้องรอวันฟ้าสีทอง
แต่ปัญหาก็คือ ปรับเท่าไรก็ไม่อยู่ตัวเสียทีนี่สิขะรับ ชีวิตมันเด้งกระดึ๋ง กระดึ๋ง ให้ข้าพเจ้าปรับอยู่เรื่อย หลายปีมานี่ ไม่เคยเรียบง่ายอย่างที่ใจต้องการสักที
เห็นรูปแบบชีวิตท่านข้าพเจ้าจึงได้อิจฉานัก
สักวันเมื่อท่านเป็นนักเขียนใหญ่ ท่านก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปกว่านี้อีกแล้ว นั่นคือใช้เวลาจันทร์-ศุกร์เขียนหนังสือ เสาร์-อาทิตย์ท่านจะยังไปทำงานข้างนอก หรือ เลือกนอนดูทีวี หรือทำงานเขียนต่อ คงแล้วแต่ท่านตัดสินใจ เรื่องของเรื่องก็คือ รายได้จากงานเขียนไม่ได้เปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน ไม่มีผลอะไรกับชีวิต ท่านมีชีวิตเยี่ยงเดียวกับนักเขียนใหญ่อยู่ในนาทีปัจจุบัน (เทียวนะเนี่ย)
บางทีข้าพเจ้าก็คิดว่า นักเขียน (มีคำอื่นแทนไหมทั่น) ก็คือผู้ที่ตัดสินใจเลือกแล้วจะไม่รวย ไม่เอาเวลาไปหาเงิน (หลายคนใช้เวลาว่าง (และเวลางาน) ให้เป็นประโยชน์โดยเสาะหาดาวน์ไลน์) คนประเภทนี้ยินดีใช้พลังชีวิตเปลี่ยนเป็นกล้าอักษรวันแล้ววันเล่า ไม่เอาเวลาชีวิตแลกความสุขสบายทางวัตถุ หลายคนทนแรงเร้าไม่ได้ จำวางดินสอปากกา บอกตัวเองว่าจะหาเงินก่อนสักพัก กว่าพบว่าเงินหาเท่าไรไม่มีวันพอ ชีวิตก็ล่วงวัย ภาระรับผิดชอบเพิ่มตามมาจนหันกลับไม่ได้เสียแล้ว
ท่านมีจังหวะชีวิตที่เหมาะสมเหลือเกิน เท่าที่ฟังท่านมาจนวันนี้ (กี่ปีแล้วทั่น?) ปัญหาเดียวของท่านที่ข้าพเจ้ารับฟังก็คือ (ประทานโทษ) 'ขี้เกียจ'
เป็นธรรมดาขอรับ สังคมมนุษย์มีกิจให้กระทำมากมายเหลือเกิน มีกิจอย่างอื่นที่สนุกกว่านั่งหลังขดหลังแข็งเขียนนิยายอีกเยอะแยะ สำหรับกับข้าพเจ้า 'เขียนนิยาย' ไม่ใช่การพักผ่อน ไม่ใช่กิจบันเทิงเริงรมย์ แต่เป็นความทุกข์ทรมาน คร่ำเคร่ง ครุ่นคิด หากเทียบกับดูหนัง ข้าพเจ้าเลือกดูหนัง เพลินกว่าแน่
แต่ข้าพเจ้าเคยลองแล้ว ดูหนังทั้งวัน กับเขียนหนังสือทั้งวัน
ดูหนังสบายใจ ได้มุมมองใหม่ ๆ แต่ความรู้สึกนั้นบางเบา เมื่อเทียบกับใช้เวลาหนึ่งวันได้งานเขียนหนึ่งชิ้น มุมลึกของความรู้สึกแตกต่างเห็นชัด เพราะบางที นั่นอาจหมายถึงคุณค่าเวลาที่เราใช้ไป เนื้องานที่ใช้เวลาชีวิตแลกมา
เขียนหนังสือให้ความรู้สึกในมุมลึกที่กิจกรรมอื่นไม่อาจไปถึง
เราจึงใช้เวลาทุ่มเทกับมัน และผสานกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งตื้นลึกทั่วถึงกัน ท่านอาจแกล้งเย้าตัวเองว่า 'ขี้เกียจ' ข้าพเจ้าเข้าใจว่าไม่ใช่ขี้เกียจ แต่เป็นเพราะท่านไม่ตั้งเป้าหมาย ครั้นท่านตั้งเป้า ท่านก็ไปถึง
ปัญหาหนึ่งเดียวของท่านจึงหาได้เป็นปัญหาเลย
เมื่อท่านจัดสรรกิจกรรมต่าง ๆ ลงตัว งานเขียนท่านเดินหน้า เท่านี้รูปแบบชีวิตที่หลายคนใฝ่ฝันก็เป็นของท่าน ไม่ต้องไปหาที่อื่นไกล อยู่ในห้อง 510 นี่เอง
ข้าพเจ้าเองก็จะไม่นั่งอิจฉาอยู่ถ่ายเดียว กำลังปรับแต่งกิจวัตรประจำวันสุดฤทธิ์
จบอหังการ์แล้วจะกลับมาคุยนะขอรับ
คารวะ
เริ่มงานเช้าวันใหม่สวัสดิ์ท่านดิลล์ที่เคารพรัก
เห็นฝากความตั้งแต่เมื่อวาน แต่มีเวลาว่างกะปริบกะปรอยไม่เหมาะจะคุยกันเป็นกิจจะแบบนั่งพับเพียบสนทนาพาทีเลยยกมาคุยเสียเช้านี้
เมื่อเช้าต้องแซะตัวเองออกจากเตียงตั้งแต่ตีห้าครึ่งแน่ะ เพื่อนมันลากไปเป็นเพื่อนซื้อของที่สำเพ็งเจ้าค่ะ เจ้านายมอบหมายให้คุณเธอซื้อของไปตกแต่งห้องประชุมที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ เดินวนกันรอบสำเพ็ง หมดตังค์ไปคนละสามสิบบาท
ได้อะไรมารู้มั้ย?
แม่เหล็กติดตู้เย็น -ท่านอ่านไม่ผิดเจ้าค่ะ ได้แม่เหล็กติดตู้เย็นมาคนละสามอัน เป็นงานแฮนด์เมด ทำจากดินเผา(ดินอะไรเผาก็ไม่รู้นะ ตอนคนขายบอกก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ พอเดินออกมาได้สามก้าวเท่านั้นแหละ ลืม!) ตกก็ไม่แตกเจ้าค่ะ ขว้างหัวใครก็ไม่แตก(ข้าพเจ้าหมายถึงสินค้านะไม่แตก ถ้าหัวคนก็ไม่แน่) ตอนเลือกข้าพเจ้าแกล้งทำตกทดสอบคุณภาพสินค้า โห ก่อนตกยังไง ตามไปเก็บมาก็ยังงั้นเลยทั่น ของเขาดีจริงๆ
นั่นแหละ ตื่นกันตั้งแต่ตีห้าครึ่ง จ่ายค่ารถสองคนสี่สิบกว่าบาท ได้แม่เหล็กมาคนละสามอัน ส่วนไอ้ของที่ไปหาซื้อน่ะนะไม่ได้มาสักอย่าง
///
ทั่นไม่ได้มาคุยกับข้าพเจ้าเสียหลายวัน แต่ข้าพเจ้าก็โผล่ไปคุยกับทั่นออกบ่อย แค่คนสองคนสื่อถ้อยสดับสารกันจะเป็นที่ไหนๆ ก็เหมือนกันแหละนาทั่นก็ ไหนจะเจอกันในสำนักอีก วันละสามเวลาเช้า เที่ยง เย็น เลยนะนั่น ถึงข้าพเจ้าจะโผล่ไปวันละหนก็เถิด แต่เห็นนามทั่นโพสต์ทั้งตอนเช้า ตอนเที่ยง ตอนเย็น ข้าพเจ้าก็ติ๊ต่างเอาว่าข้าพเจ้าได้เจอทั่นทั้งเช้าเที่ยงเย็นเลย
จำได้ทั่นเคยบอกว่า จะเขียนโน่นเขียนนี่อะไรยังไง ถ้าแม้นนิยายไม่ก้าวหน้า ก็รู้สึกเหมือนวันนั้นไม่ได้อะไรอยู่ดี(ข้อความอาจไม่ใช่แบบนี้แต่ความหมายคงไม่ต่างกันนัก) มาวันนี้ไม่ได้เขียนโน่นเขียนนี่ แต่ได้นิยายมาเป็นเนื้อๆ เน้นๆ ทั่นก็บอกว่าล้มเหลวอีก ใจคอทั่นจะเอาให้ได้ทุกอย่างเลยรึ
ตอนนี้ข้าพเจ้าจัดตัวเองไว้ในประเภท 'นักฝึกเขียน' มีตำแหน่งอยู่ตรงกลางระหว่าง 'นักอยากเขียน' กับ 'นักเขียน'
นักฝึกเขียนก็คงไม่ต่างกันในทำนองที่ว่า ต้องพบโน่นเจอนี่ในระหว่างเส้นทางฝึกฝนให้เราได้หัวฟัดหัวเหวี่ยงกับมันในทุกวี่วัน เฉพาะที่ต้องขับเคี่ยวกับเนื้อหาของเรื่องก็แทบประดาตาย(อย่างที่ท่านเคยว่า)ในแต่ละวัน ข้าพเจ้าก็ไม่อยากเอาปัญหาอื่นมาสุมหัวอีก
แล้วไยทั่นต้องอิจฉารูปแบบชีวิตของข้าพเจ้า?
รูปแบบทุกรูปแบบไม่มีรูปแบบไหนสมบูรณ์พร้อมหรอกทั่น ล้วนมีปัญหาโน่นนี่สารพันสารเพ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ชีวิตจะให้ความสำคัญกับมันมากแค่ไหน หลายหลากปัญหาที่ข้าพเจ้ามิได้บอกกล่าวทั่น ก็มิได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่ บางทีนะ มันก็เล็กขี้ปะติ๋วจนไม่จำเป็นต้องใส่ใจ อีกบางอย่างมันก็ใหญ่โตมโหฬารจนข้าพเจ้าว่าคิดมากไปก็เท่านั้น มีปัญญาทำได้แค่นี้ก็เอาแค่นี้แหละฟะ
ข้าพเจ้าก็ยังหัวหกก้นขวิดกับรูปแบบชีวิตที่เป็นอยู่ในทุกวันนั่นแหละเจ้าค่ะ
พูดก็พูดเถอะ ข้าพเจ้าน่าจะอิจฉาชีวิตทั่นถึงจะถูก ก็ข้าพเจ้ามีวันหยุดอาทิตย์ละห้าวันเอง แต่ทั่นมีวันหยุดอาทิตย์ละตั้งเจ็ดวันหาได้ที่ไหน นึกอยากจะเขียนหนังสือวันไหนก็เขียนได้ ไยต้องอิจฉาชีวิตคนอื่นอีกเล่าทั่นก็
ต้องปฏิบัติภารกิจวันนี้แล้ว สุขสันต์วันอาทิตย์เจ้าค่ะ
ด้วยความเคารพ
ป.ล. ภาพประกอบต้องการให้ใหญ่แบบนั้นแหละทั่น ข้าพเจ้าชอบเส้นแสงอาทิตย์ที่ทอประกายลงมา ดูเล็กๆ แล้วมันไม่ได้จาย..
เช้าวันจันทร์สวัสดิ์ขอรับท่านสายที่เคารพรัก
ยังเหลืองานแต่งอีกงานวันพรุ่ง แสดงว่าข้าพเจ้าจะต้องสะโหลสะเหลไปจนวันมะรืน (งานแต่งบ้านนอกท่านคิดภาพออกนะขอรับ) ข้าพเจ้าทำใจเสียว่าเป็นช่วงหยุดหลังจากตะลุยเขียนมาหนึ่งเดือน (เรียกตะลุยฟังคล้ายได้มาเยอะ ที่ไหนกัน..ไม่กี่หน้าเอง ข้าพเจ้าพิมพ์ผิดที่สำนัก ในหัวเห็นเลข 62 ทะลึ่งพิมพ์เป็น 26 ห่างกันไกลโข!)
คงใช้เวลาวันสองวันนี้ทบทวนว่าจะเอายังไงกับ 'กาลครั้งหนึ่ง' คงคอนเซ็ปต์เดิมไว้หรือเปลี่ยน? เขียนแล้วโพสท์บล็อกหรือเขียนอยู่หลังขนำ (อย่างท่าน) ที่สำมะคัญ..เนื้อหาอย่างไรจึงจะเร้าใจให้เขียน ไม่เก็บใบไร้แรงรมย์เสียก่อนถึงท่า
ท่านเล่นจดจำที่ข้าพเจ้าโม้ไว้ทุกเม็ดหยั่งงี้ชักหวั่น เห็นทีต้องสงบปากสงบคำเสียหน่อย (ดีนะที่ไม่บ่นแย้งกับของเก่า ทีหน้าทีหลังคิดจะบ่นสักคำต้องระมัดระวังเสียแย้ว)
อ้าว!..ตกลงท่านสมควรอิจฉารูปแบบชีวิตข้าพเจ้าเรอะ!
อาวเลยยกให้! วัน ๆ ไม่ใช้ตังค์สักบาท ปลูกผักกินเอง ซื้อแต่ข้าวสาร (ปลูกข้าวไม่เป็น)นี่ก็ว่าจะฝึกวิชาเอาเรือเล็กออกทะเล หาปูหาปลา (ยังไม่มีปัญญา)
คำ 'ข้าพเจ้าไม่อยากเอาปัญหาอื่นมาสุมหัวอีก' เผงใจข้าเจ้านัก
สำหรับเหล่าเราที่ยังอยู่ช่วงฝึกเขียน แค่เขียนให้จบก็ประดาตายแล้ว บางครั้ง 'ไปให้พ้น' ไม่ก็ 'วางเฉยกับทุกปัญหา' อาจเป็นทักษะชนิดหนึ่งที่นักหัดเขียนต้องฝึกก็ได้นะทั่นนะ
กลับไปปัดกวาดกระต๊อบเสียหน่อย ทิ้งร้างมาร่วมเดือน
ถนอมสุขภาพด้วยขอรับ
คารวะ