๏ ปางน้องรักพี่ฤดีถ้วนเทวษถวิล
เหมือนพสุธาโอบเอื้อเกื้อชีวิน
รักดารินเกินจันทร์จะกั้นกลาง

เหมือนน้ำค้างหยาดเกล็ดเป็นเพชรใส
รักเรียวหญ้าโล้ใบเกินใครขวาง
สายลมแผ่วยังพลิ้วมาบางบาง
รักโลกกว้างทางเถื่อนมิเลือนลา

คณนากว่าประมาณเกินการณ์คิด
จะลิขิตก็เกินถ้อยร้อยภาษา
จนคำกล่าวสาวเค้นเป็นวาจา
อย่าเมินหน้าหมางหมองไม่มองเมียง

หากบินได้เหมือนผีเสื้ออะเคื้อทุ่ง
จะโฉบปีกร่ายฟุ้งทั่วทุ่งเถียง
พาพี่ร่อนลมไปคู่ใจเคียง
สู่วังเวียงถิ่นแถนเยี่ยมแดนฟ้า

นี่เพียงกายหมายมั่นก็บั่นสิ้น
แค่ลมลิ้นฤาซ่านซึ้งคะนึงหา
เพียงสองแขนก็ยากแม้นจะไขว่คว้า
ร้าวอุรารุ่มร้อนรอนฤทัย

ต่อแต่นี้คงจมทุกข์ถวิล
ไม่สุดสิ้นสายรักให้ผลักไส
ยากตัดเยื่อร้างสวาทอนาถใจ
จะมีไหมทุกข์ทั้งแหล่เกินแต่นี้

ห่างเหลือเกินระยะทางมาพรางพราก
ให้ทุกข์ยากด้วยจิตคิดถึงพี่
กายห่างไกลอย่างไรมิไยดี
เพียงรักนี้คล้องใจมิไกลกัน

วิบากกรรมไฉนในชาติก่อน
ถึงยอกย้อนซ้อนมาดั่งอาถรรพ์
คงเป็นบาปหนักแท้แต่ปางบรรพ์
ตามลงทัณฑ์ทุกข์ทนถึงหนนี้

โอ้ ดวงใจไม่สิ้นไร้อาลัยรัก
เฝ้าฟูมฟักสมัครมั่นไม่ผันหนี
หลงคำหวานผ่านพจน์บทกวี
แม้นคนดีลวงสิ้นด้วยลิ้นลวง

สุดแต่ใจของพี่ปรานีน้อง
จะสนองปองสมัครให้รักล่วง
หรือสะบั้นบั่นทิ้งทุกสิ่งปวง
ก็ไม่ทวงถามไถ่ใจจำนน

ด้วยเพราะรักจึงสมัครจักสมาน
แม้นจะนานกาลเปลี่ยนเวียนกี่หน
ดวงใจหนึ่งซึ้งซับรับทุกข์ทน
ยังมากล้นสายใยแก้วใจเอยฯ

@ เรไรร่อนร้อง : ปางพี่รักเจ้า
เพื่อนต่างดาวของฉัน

ฉันเข้าใจมิตรภาพบนดาวของเธอแล้ว ทั้งหมดนั้นล้วนยืนอยู่บนพื้นฐานของความธรรมดาสามัญ ที่คนบนดาวของฉันหลงลืมไปเสียสิ้น ที่นี่เราวิ่งไขว่คว้าความเจริญ สู่ความก้าวหน้าทุกรูปแบบ จนอนุชนรุ่นหลังไม่รู้จักคุณค่าพื้นฐานของชีวิต คุณค่าที่รวมองค์ประกอบหลายๆ อย่างไว้ด้วยกัน องค์ประกอบที่คนบนดาวของฉันเห็นว่ามันไร้ความหมาย และไม่คู่ควรที่จะให้ความสนใจ

สิ่งที่เราทอดทิ้งคือความเรียบง่ายของการดำรงอยู่

อย่างที่เธอเห็นฉันจดจำวันเวลา เพราะเราให้ความสำคัญกับสิ่งที่วัดค่าได้ เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่จับต้องได้ ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผลพวงจากการรุดไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของดาวดวงนี้ มันทำให้ผู้คนที่นี่จิตใจหยาบกระด้างขึ้น เหมือนที่เธออาจสัมผัสได้ในจดหมายบางฉบับของฉัน

ฉันดีใจที่รู้ว่าดาวของเธอยังคงโคจรไปเรียบเรื่อยตามวิถีทางของมัน ไม่บ้าคลั่งอย่างที่ดาวของฉันได้ประสบมา

เพราะนั่นหมายความว่าสรรพชีวิตยังคงสอดประสานกันเหนียวแน่นและลงตัว ทุกอย่างล้วนเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันด้วยมิตรไมตรีดีงาม ไม่มีใครสำคัญกว่าใคร ไม่มีสิ่งใดเหนือค่ากว่าสิ่งใด มันคือความเท่าเทียมที่ทรงคุณค่ายิ่ง เพราะสรรพชีวิตทั้งหลายมิได้ดำรงตนอยู่เพียงเพื่อตนเอง หากดำรงอยู่เพื่อเกื้อกูลทุกสรรพชีวิตที่รายล้อม

ถ้าเพียงแค่เราไม่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่สวนรวมให้มากเข้าไว้ ความสงบสุขแห่งชีวิตจะไปไหนเสีย

แต่บนดาวของฉันมิได้เป็นเช่นนั้น

ที่นี่มนุษย์สำคัญกว่าทุกสิ่ง เรากระทำย่ำยีกับสิ่งอื่นได้โดยชอบธรรม ธรรมชาติ ป่าไม้ ขุนเขา ก้อนกรวด เม็ดทราย จะไม่มีค่าอะไรเลย เมื่อเทียบกับมนุษย์แม้เพียงชีวิตเดียว

และเหนือกว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ด้วยกัน

การมีชีวิตอยู่เหนือกว่ามนุษย์ทุกตัวตน นั่นคือเกียรติยศสูงสุดของการมีชีวิตอยู่ หลายคนของที่นี่จึงไล่ล่าเกียรติยศนั้น แม้ต้องเหยียบย่ำใครบ้างก็ไม่มีใครสนใจ มีคำกล่าวหนึ่งที่ฉันพอจะนึกออกขณะนี้

‘ปลาใหญ่กินปลาเล็ก’

มันหมายความว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้อ่อนแอย่อมถูกผู้แข็งแกร่งกว่ากลืนกิน

พวกเราจึงมีชีวิตอยู่แบบปัจเจก เราจะมีปฏิสัมพันธ์กับใครก็ต่อเมื่อเรามั่นใจว่าจะได้ผลประโยชน์จากผู้นั้นเท่านั้น

...นี่แหละชีวิตบนดาวของฉัน...

ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้คิดเกี่ยวกับการสื่อสารด้วยพลังชีวิตของกันและกัน ฉันจะระลึกไว้เสมอว่าบนพื้นฐานของธรรมดาสามัญทุกสรรพชีวิตทรงคุณค่าเท่าเทียม และนอกจากมนุษย์ที่เอาแต่ชิงดีชิงเด่นด้วยกันแล้ว ทุกอย่างรอบตัวล้วนมีชีวิต มีวิญญาณ ไว้ให้เราสื่อถ้อยสดับสารแม้มิพักกล่าววาจา แต่สัมผัสได้ถึงหัวใจว่าเรามิได้ดำรงอยู่เพียงเปลี่ยวดาย ยังมีหลากหลายชีวิตรายล้อมเกื้อกูลเราอยู่ในที่ทางของตนเอง

ฉันจะมองสิ่งรอบตัวด้วยความนึกคิดใหม่

ระลึกถึง
กรกฎาฯ ๒๕๕๒

@ จดหมายจากดาวสีดิน : ช่องว่าง

สวัสดีเธอผู้อยู่ในความทรงจำเสมอมา

๔๓ วัน ที่ฉันไม่มีตัวอักษรถึงเธอเลย ฉันไม่รู้ว่าเธอรู้สึกยังไงเมื่อตัวอักษรของฉันห่างหายไป บางทีเธออาจคิดว่าฉันทิ้งขว้างเมื่อความตื่นเต้นที่ฉันเคยมีหมดสิ้นลง

ถ้าเธอกำลังรู้สึกน้อยใจ เสียใจ ผิดหวัง หรืออะไรก็แล้วแต่สำหรับการขาดหายของจดหมายจากฉัน ขอเธอโปรดรู้ไว้ สำหรับเธอแล้ว คำว่าทิ้งขว้าง ละเลย หรือหลงลืม ไม่เคยมีอยู่ในหัวฉันเลย เธอยังคงอยู่ ณ ที่หนึ่งที่สวยงามไม่แปรเปลี่ยน

หวังว่า ๔๓ วันที่ผ่านมาเธอคงสบายดีและมีความสุข ส่วนฉันชีวิตยังเรียบเรื่อยไปตามทำนองที่มันเคยเป็นมาและควรจะเป็นไป แต่ก็ยังพอหาความสุขเล็กๆ ในบางจังหวะได้เสมอ เธอคงรู้ดี รอบกายเราล้วนมีความสุขมากมายรายล้อม อยู่ที่เราจะเปิดตาเปิดใจมองมันหรือเปล่า บางครั้งเพียงได้นั่งมองใบไม้พลิ้วไหวในสายลม ก็ทำให้หัวใจสงบสุขได้แล้ว

เธอเคยหรือเปล่า? เคยนั่งนิ่งๆ แล้วมองสรรพสิ่งรอบตัวเคลื่อนไหวไปตามลีลาของมัน อาจเป็นกระดิ่งลมตรงระเบียง หรืออาจเป็นผ้าม่านริมหน้าต่าง

ประหลาดใจมั้ย? ที่สิ่งไม่มีชีวิตจิตใจ เคลื่อนไหวได้ราวมีชีวิตชีวา ใครกันบอกว่ามันไม่มีชีวิต?

โลกนี้ล้วนซุกซ่อนสิ่งมหัศจรรย์ที่เราไม่อาจคาดเดา บางทีในความไม่มีชีวิตนั้น อาจซุกซ่อนบางอย่างที่เกินกว่าคำว่า ชีวิตชีวา

ริ้วมู่ลี่สะบัดตัวเกี่ยวพันกันไปมา คล้ายมันกำลังหยอกล้อเจ๊าะแจ๊ะกันเอง แล้วก็นั่นอีก โมบายเปลือกหอยเสียดสีกันในริ้วลมพัดผ่าน มันกำลังขับขานบทเพลงเริงร่าในท่วงทำนองละเมียดละไม

ใช่แน่หรือ ว่าทั้งหมดนี้ไม่มีชีวิต?

แต่ช่างเถอะ สิ่งเหล่านั้นจะมีชิวิตหรือไร้ชีวิตก็ไม่สำคัญไปกว่า พวกมันทำให้ฉันมีความสุขได้ในบางห้วงยาม เหมือนเพื่อนเริงรื่นยามฉันมีความสุข เหมือนมิตรปลอบประโลมยามฉันหงอยเหงา เหมือนคนคุ้นเคยที่สื่อสายใยว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

ใช่ไหมว่าทั้งหมดนั้น คือความผูกพัน?

แค่มีความผูกพัน สิ่งไม่มีชีวิตก็หมือนมีชีวิต สิ่งไร้ค่าก็มีความหมายเกินประมาณ ในนามความผูกพันสรรพสิ่งล้วนเท่าเทียม

เธอกับฉันต่างที่มา ต่างที่ไป แตกต่างในทุกสิ่ง แต่ไม่เคยแตกต่างในความรู้สึก คงไม่ต้องบอกว่าเพราะอะไร

ในความสุขเล็กๆ ของฉัน ส่วนหนึ่งคือการได้เขียนจดหมายมาหาเธอ ทำนองของความคิดถึงผสานไปกับเส้นเสียงเริงร่าของโมบายเปลือกหอย คลอเคล้าไปกับริ้วมู่ลี่ต้องลม และกระดิ่งลมแกว่งไกว

ฉันมีความสุขในเส้นสายใยผูกพันที่เรามีต่อกัน


รักและคิดถึง
เพื่อนเธอบนดาวสีน้ำเงิน
กลางกรกฎาฯ ๒๕๕๒