มิ่งมิตรที่รัก

เสียงนกกระจิบกระจอกเจี๊ยวจ๊าวกันบนแผงรับสัญญาณโทรทัศน์ของอาคารฝั่งตรงข้ามระเบียงห้อง ปลุกความสดใสเริงร่าของชีวิตชีวาให้โลดแล่น จำนวนนกที่เกาะกันมากมายนับสิบ กับปีกหลายคู่แข่งกันกระพือพึ่บพั่บ ทำให้เสาเล็กๆ โยกเอนไปมาคล้ายต้องลมแรง

ฉันมองดูความชุลมุนยุ่งเหยิงเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มเอ็นดูกับสังคมเล็กๆ ของพวกมัน บางครั้งก็นึกสงสัยว่าพวกมันถกเถียงกันด้วยปัญหาอันใดหนอ ถึงได้เจี๊ยวจ๊าวคึกคักกันเหลือเกิน เหลือบมองไปบนฟ้ากว้าง นกบางตัวร่อนอยู่ในเวิ้งฟ้า ดูเหงาและเดียวดาย แต่มันคงสุขใจที่ได้ทำอย่างนั้น

วันนี้ฟ้าครึ้ม เมฆทึบทึมไปทั่ว นั่งอยู่ในห้องเล็กๆ บรรยากาศมัวซัว ฟังเสียงนกพูดคุย ขณะคิดคำบรรยายฉากในนิยายไปเรื่อยๆ สุขใจไม่มีอะไรเปรียบ

ร่วมเดือนแล้วกับการเปิดฉากชีวิตตัวละครในนิยายเรื่องใหม่ ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเขียนมาถึงเรื่องนี้ เมื่อย้อนกลับไปมองภาพในอดีตหลังม่านความทรงจำ เห็นตัวเองนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่หน้าแป้นคีย์บอร์ด ฟุบหน้ากับโต๊ะเมื่อสมองทึบตัน หยิบหนังสือใกล้มือมาทุบหัวตัวเองเมื่อนิยายกำลังเดินมาถึงจุดสำคัญแต่ไม่รู้จะบรรยายฉากนั้นยังไงดี

ความสุขที่ได้รับยามย้อนกลับไปมองอารมณ์ของตัวเองในทุกจังหวะตัวอักษร ความภาคภูมิใจที่คว้าฝันให้ตัวเองได้สำเร็จ ล้วนแล้วแต่หลอมรวมมาจากหลากความรู้สึก

มันไม่ได้หยุดลงแค่นี้หรอกสหายรัก ตัวอักษรของฉันยังต้องเดินทางต่อไปเรื่อยๆ ฉันยังมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเขียน อยากจะเล่า อยากร้อยเรียงเป็นดนตรีอักษรบอกเล่าความคิดฝันของฉันให้โลกได้รับรู้ แม้ว่าตอนนี้ทุกเรื่องราวเหล่านั้นยังเป็นเพียงภาพพร่าเลือน ไม่แจ่มกระจ่างชัดเจนนัก ด้วยเพราะมือใหม่อย่างฉันยังไม่ชำนาญการปรับโฟกัสภาพ แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ชำนาญด้านใดก็ต้องเรียนรู้ผ่านการเวลาและเคี่ยวกรำฝึกฝนมิใช่หรือ

เมื่อเกือบสามปีที่แล้ว ฉันยังมะงุมมะงาหราไม่รู้จะบรรยายเปิดฉากนิยายเรื่องแรกในชีวิตยังไงดี จำได้ว่านั่งพิมพ์-ลบ พิมพ์-ลบ กว่าสิบรอบ พร้อมกับความหวั่นวิตกสารพัด ไม่มีความมั่นใจเฉียดใกล้ความคิดแม้สักกระผีกริ้น แต่เมื่อไม่กี่อาทิตย์มานี้กับการเริ่มต้นนิยายเรื่องใหม่ ปลายนิ้วฉันเคลื่อนไหวเป็นท่วงทำนองเพลินใจ ผสานความคิดไหลรี่คล้ายสายธารเล็กๆ ที่กำเนิดมาจากตาน้ำในป่าใหญ่ ไหลผ่านความสงบร่มรื่น และเผื่อแผ่ความชุ่มชื้นสู่สิ่งแวดล้อมรอบกาย ราวกับว่าจะให้ชีวิตตักดื่มกินได้ไม่มีวันเหือดหาย

ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่เลยสหายรักกับสิ่งที่ฉันทำ และฉันไม่ปรารถนาความยิ่งใหญ่ใดมากไปกว่าความสุขเล็กๆ ที่กอบเก็บได้ระหว่างเดินทาง สุดสายปลายทางเส้นนี้จะอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด ฉันไม่เคยใส่ใจให้ความสำคัญกับมันเลย คงไม่ต่างความจริงนัก ถ้าจะบอกว่าเส้นทางสายนี้ไม่มีปลายทาง ฉันหล่อเลี้ยงฝันด้วยตัวอักษรที่กลั่นจากดวงใจรักแต่ละตัว ฉันก้าวเดินไปทีละก้าว ทีละก้าว ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาที่เปี่ยมพ้นอยู่ในดวงใจรักดวงนี้ และฉันจะเดินไปเรื่อยๆ ตราบเท่ายังมีลมหายใจเดินทาง...

นอกระเบียง เสียงนกนับสิบยังระเบ็งกันเซ็งแซ่ ฉันโผล่หัวออกไปดูอีกที เหมือนมันจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น บนเวิ้งฟ้ากว้างนกตัวเดียวยังร่อนลม ไม่รู้จะใช่ตัวเดิมหรือเปล่า แต่จะเป็นนกตัวไหนก็แล้วแต่ ฉันต้องทำให้ได้อย่างมัน โจนทะยานขึ้นฟ้าไม่หวั่นว่าจะต้องเดียวดาย


ด้วยดวงใจรัก
ระเบียงสกุณา
กลางกุมภาฯ 2553

มิ่งมิตรแห่งรัก

ฉันระลึกอยู่เสมอว่าตนเองนั้นยังเขลาในหลายสิ่ง มีเรื่องราวอีกมากมายที่ฉันต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ ฉันเชื่อว่าชีวิตดำรงอยู่เพื่อการเรียนรู้ แสวงหา และเติมเต็ม เติมเต็มในที่นี้หาใช่ความอยากความปรารถนาแห่งใจตน แต่ฉันหมายถึงเติมจิตวิญญาณทีมันยังขาดยังพร่องอยู่ให้เต็มเปี่ยม เพื่อว่าจะได้ปล่อยวางในทุกสิ่ง

ยอดปิยมิตรคนดี ครั้งหนึ่งฉันแสวงหา แล้วต่อมาฉันก็ได้พบ ‘มิตรแห่งรัก’ มิตรที่สอนให้ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายต่อหลายอย่างที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยให้ความสำคัญ เราสื่อสารกันผ่านตัวอักษรเพียงไม่นาน แต่จดหมายเพียงไม่กี่ฉบับนั้น ทำให้ฉันซึมซับความรู้สึกหลากหลายยามได้อ่าน-เขียน เรารู้จักผู้อื่นได้จากการอ่าน เรารู้จักตนเองได้จากการเขียน ฉันไม่มั่นใจว่าคำกล่าวนี้ถูกต้องนัก แต่ฉันก็ได้พิสูจน์ด้วยตนเองมาแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เราถูกฟูมฟักและเจริญเติบโตมาในโลกต่างใบ ไม่ใช่เรื่องประหลาดอันใดที่ความคิดอ่านของเราจะแตกต่างกัน แต่มันหาได้แตกต่างโดยสิ้นเชิงเสียทีเดียวหรอก บางเรื่องฉันยังคิดคล้ายเธอ และเชื่อว่าบางเรื่องเธอก็คิดคล้ายฉัน เรื่องราวที่เธอบอกเล่ามาในจดหมายฉบับล่าสุด ทำให้ฉันรู้ว่าเธอใช้ ‘ภาษาพิเศษ’ ที่ติดตัวสิ่งมีชีวิตทุกผู้นามมาแต่ถือกำเนิดสื่อสารกับสิ่งรอบตัว ต่างกับฉันที่ให้ความสำคัญกับภาษาพูดซึ่งเกิดจากการคิดค้น ดัดแปลง ของมนุษยชาติเป็นอันดับต้น

เรื่องเล่าของเธอทำให้ฉันประหวัดถึงวัยเยาว์ ที่ครั้งหนึ่งฝนตกหนักข้ามวันข้ามคืน จนน้ำนองหลากท่วมหลายพื้นที่ ลูกไก่ตัวหนึ่งเพิ่งแยกจากอกแม่หากินเองได้ไม่นาน หลงจากฝูงไก่ด้วยกัน มันไม่ได้อยู่ในที่ที่พ่อเตรียมไว้ให้พวกมันอาศัยกันปรอยฝน พ่อและแม่จึงตระเวนตามหาและพบมันซุกกายกกตัวเองอยู่ในดงกล้วย

ขนนุ่มๆ ของมันเปียกโชกไปหมด มันยืนสั่นงกๆ น่าเวทนายิ่งนัก แม่พยายามเช็ดขนเปียกๆ ให้แห้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหาเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เราไม่ใช้แล้วมารองในตะกร้าใบหนึ่ง จับมันวางไว้ข้างใน เอาผ้าอีกผืนมาคลุมตัวมันไว้ให้โผล่มาแค่หัว จนถึงตอนนั้นมันก็ยังยืนสั่นเป็นเจ้าเข้า พ่อแยกไปหาดวงไฟต่อสายมาจนถึงตะกร้าที่เราวางลูกไก่ตัวนั้นไว้ พ่อบอกว่า ความร้อนจากดวงไฟจะทำให้มันอบอุ่นขึ้น ก่อนเราปล่อยมันทิ้งไว้ตรงนั้น พ่อยังไปหายาพาราฯละลายน้ำมากรอกใส่ปากให้มันกิน และแม้ว่าเราจะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น แม่ก็ยังเดินวนเวียนไปดูมันรอบแล้วรอบเล่าเกือบทั้งคืน

ฉันไม่รู้ว่าที่พ่อกับแม่ทำไปทั้งหมดจะช่วยมันให้รอดได้หรือเปล่า แต่อย่างหนึ่งที่ฉันรับรู้ได้ตอนนั้นคือความอาทร ห่วงใย ที่พ่อกับแม่มีให้เจ้าลูกไก่ตัวน้อย

ใช่เลยสหายรัก ฉันเข้าใจได้โดยพ่อกับแม่ไม่ต้องเอ่ยปาก ภาษาของท่านสื่อสารผ่านการกระทำมาให้ฉันรับรู้

แน่ล่ะ ภาษานี้ย่อมตราตรึงแนบแน่นอยู่ในใจของคู่สื่อสาร เพราะมันเป็นภาษาสากลของจักรวาล อาบซ่านอยู่ในดวงใจของทุกชีวิตมาแต่ถือกำเนิด ไม่จำเป็นต้องมีใครมาสอนสั่ง เราเรียนรู้ได้เองโดยธรรมชาติ ต่างจากภาษาที่ฉันใช้ที่เพียงแค่ออกจากปากมันจะกลืนหายไปกับสายลมอย่างไร้ร่องรอย หากดีขึ้นมาหน่อยถ้ามันจะชำแรกเข้าไปฝังอยู่ในความทรงจำของใครบางคน กาลเวลาจะทำหน้าที่ต่อจากสายลมลบมันทิ้งไป

แต่ไม่ว่าจะภาษาไหนๆ ต่อให้เลิศเลอยังไง ก็ย่อมมีข้อจำกัดบางประการทำให้การสื่อสารผิดเพี้ยน เธอเคยคิดบ้างไหม หากใครบางคนที่เธอสื่อสารด้วยหาได้เปิดช่องความถี่เดียวกับสัญญาณที่เธอส่งมา ผลมันจะเป็นยังไง จะสื่อสารกันได้หรือ? ไม่ว่าผู้ส่งหรือผู้รับล้วนต้องปรับคลื่นสัญญาณให้ตรงกัน เธอสื่อสารกับสิ่งหนึ่งเข้าใจก็ใช่จะใช้วิธีเดียวกันนั้นมาสื่อสารให้อีกคนเข้าใจตรงกัน เหมือนที่เธอกล่าวในตอนต้นของจดหมาย ผีเสื้อแต่ละตัวใช่จะชมชอบเกสรดอกไม้จากต้นเดียวกัน ฉันใดก็ฉันนั้น

ตั้งแต่ครั้งที่พ่อกับแม่ช่วยกันประคบประหงมลูกไก่ตัวนั้น หัวใจฉันก็เปิดกว้างเพื่อรับสัญญาณใจที่อาจมีใครอีกหลายคนสื่อสารผ่านอณูอากาศ วินาทีนี้ฉันมั่นใจแล้วว่าในหลากสัญญาณเหล่านั้น มีสัญญาณของเธอแทรกซึมอยู่ด้วย เพียงแต่ฉันต้องปรับคลื่นความถี่อีกนิดหน่อยเพื่อให้ตรงกับคลื่นสัญญาณที่เธอส่งออกมา

หวังว่าอีกไม่นานภาษาที่เราสื่อสารจะสอดรับตรงกัน

คิดถึงอยู่ไม่คลาย
ระเบียงดาว
เริ่มกุมภาฯ เดือนแห่งรัก ดาวสีน้ำเงิน


@ จดหมายจากดาวสีดิน : เปิดใจ..แล้วเธอจะได้ยิน


ฉันรักเธอ เธอรักฉัน
เรารักกัน ซู่ซ่า ซู่ซ่า


ฉันรักเธอ เธอรักฉัน
เรารักกันมานานนักหนา
ดอกรักของเราเติบโตโสภา
จะมองกี่คราชื่นตาชื่นใจ


เธอหมั่นรดน้ำด้วยน้ำใจรัก
ส่วนฉันฟูมฟักคอยเอาใจใส่
ให้มันบานผลิแตกยอด กิ่ง ใบ
หยั่งรากลึกในดวงใจสองเรา


จะร้อนจะหนาวหรือเข้าหน้าฝน
เราไม่กังวล ดอกหล่น เหี่ยวเฉา
ดอกรักยังบานสะคราญพริ้งเพรา
ให้เราซบเงาเนาแนบแอบอิง

...

"นี่ตัวเอง เค้ารักตัวนะ"
"เค้าก็รักตัวเหมือนกัน"


อ๊าย !!!
ฉันรักเธอ เธอรักฉัน
เรารักกัน ซู่ซ่า ซู่ซ่า




*กิจกรรม 'ชวนปลูก (กลอน) รัก'

๏ งามพิศุทธ์ดุจดอกไม้เจ้าฉายโฉม
ลูบประโลมลวงใจให้ไหวหวาม
หมื่นพันพจน์บทกวีคลี่นิยาม
มิเทียมงามทรามสวาทนารถอนงค์

ยามเจ้ายิ้มพริ้มละไมในวงพักตร์
เพ็ญรูปลักษณ์เพลินจิตพิศวง
ละมุนเนื้อเนตรทรายพรายประจง
โอ้อ่าองค์งามพร้อมละม่อมสะอางค์

ดุจไม้งามทรามสง่าในป่าเขา
เจ้างามเงาเพราพริ้มเมื่อริมสาง
แย้มกลิ่นกรุ่นละมุนหอมถนอมนาง
กลีบอ่อนบางภมรกล่อมถนอมนวล

ให้เจ้าชูช่อสวยด้วยศรีเจ้า
ประโลมเล้าโลกชื่นดื่นหอมหวน
ขจรกลิ่นขจายกรุ่น อุ่นอวล
แย้มยวนโสภา สง่างาม

ให้เจ้าชมโลกกว้างอย่างใจฝัน
ผ่านคืนวันสวยใสไร้ไหน่หนาม
เป็นไม้ดอกเติบกล้าใต้ฟ้าคราม
งดงามคู่หล้าจนราโรย

อนิจจา เจ้าเติบกล้าในป่าปูน
แวดล้อมบริบูรณ์ 'ผู้หิวโหย'
ภมร ภู่ ภุมริน ร่อนบินโบย
ชอนสายลมชายโชยมาชมนวล

มิทันแย้มกลีบเจ้าก็เยินยับ
สิ้นน้ำหวานรานลับไม่กลับหวน
เสื่อมทุกสิ่งทุกอย่าง เสื่อมทั้งมวล
กลีบนวลกร่อนค่า...เจ้าราโรย...

OOO


ขอบคุณปรับแก้โดย ธุลีดิน