-๑-
เมฆครึ้มอึมครึมทะมึนฟ้า
สกุณาคืนถิ่นบินกลับขอน
สายลมครางอู้อยู่ซอกซอน
หน้าต่างบางตอนพะเยิบรัว

แล้วพลันดอกฝนก็หล่นร่วง
รับช่วงสายลมมาพรมทั่ว
รอบรายกายตนดูหม่นมัว
ซุกกายซบหัวกับโซฟา

ฉ่ำเย็นความเป็นมาแห่งฟ้าฝน
ร่วงหล่นตกเม็ดแล้วแตกพร่า
สายฝนสาดสายจากปลายฟ้า
งดงามนัยน์ตาที่พร่าจาง

บางงามยามเหงาในเงาเงียบ
เยือกยะเยียบเฉียบซ่านสะท้านร่าง
สะท้านลึกสะอึกอั้นให้ควั่นคว้าง
เวิ้งว้างว่างวายรายรอบตัว

อาจดวงตาหม่นมัวสลัวเศร้า
จึงหลากเหงาโถมทับไปถ้วนทั่ว
ล้อมกายในอาณาจักรความหวาดกลัว
กรีดระรัวร้าวรานอยู่ด้านใน

ใช่! ฉันเหงา เหงาลึกจนนึกหวั่น
จนตะครั่นสั่นรัวจนตัวไหว
จนสะอื้นรื้นร้าวท่าวทบใจ
อยู่ในความร้างไร้ความไม่มี

ไม่มีไฟฝันอันงามงด
มีแต่โศกสลดมาแทนที่
มองสายฝนสาดสายหลายนาที
น้ำตาปรี่ล้นปริ่มอยู่ริมตา

แหงนมองฟ้ามืดชืดสีหม่น
แว่วคำรนครืนครางอยู่ข้างหน้า
ฟ้าร้องก้องกังวานสะท้านฟ้า
ฉันซบหน้ากับพื้นสะอื้นฮัก

-๒-
ผ่านไป...ผ่านไป...ในความเงียบ
ยังแต่ความเย็นเฉียบอันหน่วงหนัก
ยันกายนั่งนิ่งแล้วอิงพัก
ทอดสายตาไร้หลักอย่างเดียวดาย

แล้วพลันรอยยิ้มก็ปริ่มหน้า
โศกาโศกศัลย์นั้นพลันหาย
น้ำตาเยียบเย็นเหมือนเร้นกาย
สิ้นสลายเศร้าสร้อยรอยอาดูร

.............................

ดวงตาที่เห็นเป็นประกาย
เฉิดฉายพรายแจ้ง....แห่งรุ้งงาม!

ในเรื่องราว:
1 Response
  1. DiN Says:

    เวิ้งวัก? เป็นเช่นไรจ๊ะ?
    ..
    ..
    แหมะวิสัชนาไว้..เผื่อพลาดตา
    http://tuleedin.blogspot.com/2009/07/blog-post.html

    คารวะ


แสดงความคิดเห็น