หวานเจ้าเอยหวานล้ำเกินคำกล่าว
หวานเรื่องราวกรุ่นหอมของจอมขวัญ
หวานคำเปรียบเทียบเทียวเกี้ยวรำพัน
หวานกำนัลคำรักในอักขรา

ผ่านเรื่องราวหลายหลากซากชีวิต
ผ่านคมคิดคืนวันที่ฟันฝ่า
ผ่านอวลเหงาเงาหลอนสุดอ่อนล้า
ผ่านเหว่ว้าอ้างว้างบนทางจร

ถ้อยคำรักถักใยในตราตรึง
แผ่วหวานซึ้งกลบเหงากับเงาหลอน
ลำเนารักถักทอรอเว้าวอน
มาออดอ้อนอิงแอบแนบกรุ่นกาย

ลืมเสียเถิดอ้างว้างบนทางเปลี่ยว
ลืมให้สิ้นดายเดียวเคยเกี่ยวก่าย
อ้อมกอดรักจักถนอมกล่อมให้คลาย
จบเรื่องร้ายพ้นผ่านสำราญวัน

เพลงขลุ่ยครวญหวนหวานผ่านม่านไผ่
ร้อยดวงใจแนบเนารักอักษรสรร
แม้นเดือนดับลับดวงห้วงชีวัน
ขอหมายมั่นรวมเรียงเคียงพี่ยา

หวานน้ำคำคมความงามไม่สิ้น
หวานรวยรินซ่านซึ้งน้ำผึ้งเดือนห้า
หวานคำพรอดออดอ้อนวอนวาจา
หวานอักขรายอดวิญญูไม่รู้คลายฯ


ภาพประกอบ : อินเทอร์เน็ต
วาระร้อยอักษรกำนัล 'หวาน' ท่านดิน
สหายรักต่างดาว

ฉันเชื่อเสมอกับการมอบความรักจริงใจให้กับบางสิ่งบางอย่าง ดูแลเอาใจใส่ทุกลมหายใจเข้า-ออก เราจะได้ความรักและการดูแลนั้นกลับคืน

ไม่ต้องดูไหนไกล แค่มองดูระหว่างเรา ฉันมอบความรักให้เธอ เธอมอบความรักให้ฉัน ช่วยดูแลมิตรภาพที่มีให้กันทุกลมหายใจเข้า-ออก ความสุขก็เบ่งบานอยู่ในหัวใจของเราทั้งสองคน

นั่นคือผลตอบแทนของความจริงใจที่เรามีให้กัน

บางทีฉันอาจคิดอย่างเธอที่ไม่เอา ‘งาน’ และ ‘เงิน’ มานำหน้า ‘ความสุข’

คำกล่าวนี้อาจตีความหมายเป็นเพียงคำปลอบใจตน หรือเพียงลมปากสวยหรูที่ปั้นแต่งไว้ลวงหลอกใครต่อใคร เมื่อคิดถึงความจริงที่ว่า ฉันไม่เคยมีเงินมากมายอะไร ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน

แต่สหายรัก

เมื่อนานมาแล้ว ฉันเคยทำงานเจ็ดวันในหนึ่งสัปดาห์ ผ่านเดือนแล้วเดือนเล่า เพียงเพื่อต้องการเงินมาซื้อความอยากให้ตัวเอง ฉันมีเสื้อผ้าที่ซื้อใหม่ทุกอาทิตย์อัดแน่นเต็มตู้ มีรองเท้าหลายแบบหลากสไตล์เรียงรายให้สวมใส่นับสิบคู่ มีกระเป๋าที่สามารถใช้ไม่ซ้ำแบบกันได้ทั้งอาทิตย์ มีเครื่องประดับ เครื่องประทินโฉมมากมายล้นกล่อง

นั่นคือกิเลสตัณหาที่ครั้งหนึ่งฉันเคยมี และมันไม่เคยพอ ความต้องการที่ร้อนเร่าอยู่ในจิตใจบังคับให้ฉันต้องไขว่คว้าเพื่อสนอง

แม้จะซื้อเสื้อผ้าทุกอาทิตย์ แต่ทุกครั้งที่แต่งตัวฉันไม่เคยมีชุดใหม่ๆ ใส่ ฉันจะมีเสื้อผ้าชุดใหม่ได้ยังไง ในเมื่อทันทีที่ฉันได้มันมาเป็นกรรมสิทธิ์โดยชอบธรรม มันก็จะกลายเป็นชุดเก่าไปในบัดดล และเจ้าตัวที่เรียกว่า ‘กิเลส’ ก็จะสั่งให้ฉันไขว่คว้ามาเพิ่มอยู่เรื่อยๆ

จนเมื่อวันหนึ่งฉันพบว่า เสื้อผ้าที่ฉันขนซื้อเข้ามานั้น เกินครึ่งที่ฉันไม่เคยใส่เกินหนึ่งครั้ง รองเท้าหลากแบบหลายสไตล์ที่เรียงรายให้เลือกใส่ โดนขี้ฝุ่นเกาะจนแทบไม่เห็นสีเดิม กระเป๋าที่มีให้ใช้ไม่ซ้ำแบบทั้งสัปดาห์ ฉันหยิบใช้แค่ใบเดียวตลอดทั้งเดือน และเครื่องประดับ เครื่องประทินโฉมทุกชิ้นยังวางแน่นิ่งอยู่ในกล่อง แทบจะไม่เคยผ่านการใช้งาน

และที่น่าตกใจก็คือ ฉันมองเห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงความว่างเปล่า

ฉันเพิ่งสำนึกได้ในวันนั้นเองว่าฉันกำลังไล่ล่าสิ่งไร้ค่า และฉันหวาดหวั่นเหมือนเด็กน้อยหลงทาง เมื่อรู้ว่า ตัวฉันมีเพียงความกลวงโบ๋ที่ล่องลอยไร้ทิศทาง

เป็นนานกว่าฉันจะคิดได้ ว่าฉันควรหยุดสนองให้กับตัวตัณหาที่กู่ก้องเรียกร้องอยู่ภายใน

เมื่อฉันหยุด เจ้าตัววายร้ายก็สงบซบเซา และความเร่าร้อนที่กระพือโหมไหม้อยู่ในจิตใจ ก็กลับกลายเป็นไฟเย็นที่นำความสงบรื่นมาสู่ดวงใจ

ฉันมิได้จะบอกเธอหรอกนะว่าเจ้าตัววายร้ายมันตายไปจากใจฉันแล้ว ไม่หรอก ไม่มีวันที่เจ้านั่นจะตายไปจากใจฉันได้ มันยังอยู่ตรงนั้น ด้วยท่าทีสงบและเซื่องซึม รอเวลาที่ฉันเผลอ เพื่อมันจะได้ออกมาเริงร่าอีกครั้ง ฉันทำได้ดีที่สุดเพียงควบคุมมันไว้ให้อยู่ในอาการสำรวมให้นานที่สุด

ทุกวันนี้ยามฉันเดินผ่านย่านศูนย์การค้าที่ผุดขึ้นเกลื่อนเมืองเพื่อล่อลวงให้มนุษย์ผู้อ่อนไหวเผลอตัว และเรียกร้องให้เจ้าตัวกิเลสออกมาโลดแล่น ฉันมองผู้คนที่หลงอยู่ในวังวนเหล่านั้น เหมือนฉันได้เฝ้ามองตัวเองในอดีต

แน่นอนว่าเมื่อยังอยู่ในสังคมแบบเก่าที่เคยอยู่ รายล้อมด้วยผู้คนในแบบที่ฉันเคยเป็น ความแตกต่างย่อมเห็นเด่นชัด อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของฉันเอง และสิ่งที่ตามมาคือความแปลกแยก ประหนึ่งฉันเป็นแกะดำหลงฝูง สิ่งที่ทำคือ ฉันเพียงระบายยิ้มบางๆ ให้กับความรู้สึกนั้น

สหายรัก ปัจจุบันขณะฉันดำเนินชีวิตอยู่บนความเรียบง่าย ไม่แสวงหา ไม่ดิ้นรน ทำงานแค่พอกิน ใช้เท่าที่มี ใช้เวลาที่เหลือเพื่อสิ่งที่รัก ...และฉันได้รับความรักนั้นตอบแทนมาทุกลมหายใจเข้า-ออกแล้ว


มิตรของเธอ
ปลายสิงหาฯ ๕๒

@ จดหมายจากดาวสีดิน : คำปลอบประโลม

เปิดประตูเข้าห้องที่คุ้นเคย ทุกอย่างยังอยู่ในที่ทางของมันเหมือนก่อนฉันออกจากห้องในตอนเช้า ชุดนอนที่ใส่เมื่อคืนยังแขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ารอฉันกลับไปใส่อีกในคืนนี้ โน้ตบุ๊กของเพื่อนยังวางอยู่บนเตียงตำแหน่งที่เธอเคยนอน หนังสือซึ่งอ่านค้างไว้คืนก่อนๆ ยังซุกตัวอยู่ระหว่างซอกหมอนคล้ายมันจะมีความสุขที่ได้ซุกอยู่ตรงนั้น ผ้าขนหนูยังแขวนเล่นลมไปมาอยู่ริมระเบียง

นาฬิกาบนฝาผนังส่งเสียงต๊อกๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เหมือนหน้าที่ของมันไม่มีสิ้นสุด วินาทีแล้ววินาทีเล่า รอบแล้วรอบเล่า อาจมีบางครั้งฉันเคยนึกรำคาญ แต่ตอนนี้มันกลับเป็นเพื่อนที่น่ารักที่สุด

เข้าคืนที่สองแล้วที่ฉันต้องนอนคนเดียว ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรมากนัก ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก่อนหน้าที่ฉันจะเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน และพรุ่งนี้ไม่มีงานรออยู่ ราตรีนี้คงยาวนานจนหยดสุดท้ายที่ฉันจะเก็บเกี่ยวไว้ แต่เมื่อตั้งใจเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยน ตีหนึ่งคือเวลาที่ฉันเข้านอนพร้อมทีวีที่ส่งเสียงดังอยู่เป็นเพื่อน และดวงไฟนีออนบนเพดานยังสว่างโร่ จนเมื่อตีสองเสียงของเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ก็ยังแว่วมาเข้าหูด้วยความรู้สึกสะลืมสะลือ

ฉันลุกมาดับไฟตอนหกโมงเช้าและกลับขึ้นเตียงอีกครั้ง เมื่อยังเหลือเวลานอนอีกสองชั่วโมงก็ไม่รู้จะรีบตื่นมาทำไม

เสียงนาฬิกาปลุกเรียกเมื่อเวลาแปดโมง เวลาที่ฉันสมควรอำลาเตียงนอนอันแสนอบอุ่น ลุกขึ้นมาเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน รดน้ำต้นไม้ริมระเบียง ต้นไม้ที่แม่ฝากไว้เมื่อห้าหกเดือนก่อนเพราะเอากลับบ้านไปด้วยไม่ได้เจริญเติบโตเขียวชอุ่มเกินหน้าเกินตาต้นไม้อัปลักษณ์ของเพื่อนรักร่วมห้อง ทั้งที่คนรดน้ำก็คนเดียวกัน น้ำที่ใช้รดก็มาจากที่เดียวกัน คนรดประจำไม่เคยแสดงท่าทีประหลาดใจใดๆ ให้เห็น แต่ทุกครั้งที่มานั่งมองฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไม?

กลับมานอนอ่านหนังสืออีกสักพักก็ได้เวลาน้ำเดือด ฉันชอบฟังเสียงน้ำในกระติกเต้นไปตามอุณหภูมิองศาที่เพิ่มขึ้นก่อนไฟสีส้มสดใสจะเปลี่ยนสถานะไปอยู่ในปุ่ม keep warm มันเหมือนเสียงฝนหลงฤดูตกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนอกระเบียง

ลุกไปเปิดน้ำร้อนละลายยาสมุนไพรที่หลวงพ่อให้มาเมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านครั้งล่าสุด เป็นยาแก้โรคอะไรฉันก็ไม่รู้ หลวงพ่อบอกว่าเป็นยาจากมาเลย์ทำมาจากว่านหายากชนิดหนึ่ง ท่านบอกชื่อมาด้วยแต่ฉันไม่ได้ใส่ใจจดจำ ฉันหวังเพียงบำรุงร่างกายให้เลือดลมสมบูรณ์ ก็ไม่รู้หรอกนะว่าตัวฉันเป็นโรคอะไรบ้าง แต่ฉันรู้สึกว่าร่างกายฉันย่ำแย่เต็มที ผลของการใช้ชีวิตผิดสุขลักษณะมาหลายปีดีดัก บวกกับการนั่งดมกลิ่นควันบุหรี่ในร้านอินเทอร์เน็ตมาหลายเดือน ตอนนี้ฉันเลิกเข้าร้านอินเทอร์เน็ตไปแล้ว ภูมิแพ้ที่เพิ่งสำแดงอาการก็ดูเหมือนจะทุเลาลง

บางทีฉันก็รู้สึกดีที่รู้ตัวว่าตนเองไม่สบาย เพราะคนที่รักฉันแสดงความห่วงใยจนฉันอบอุ่น พี่ชายโทรมาถามถึงสุขภาพร่างกายฉันเสมอ และจบลงด้วยประโยคที่ได้ยินเจนหูว่า “อย่านอนดึกนะ ดูแลตัวเองดีๆ” ประโยคธรรมดา ง่ายๆ แต่น้ำเสียงห่วงใยที่มาพร้อมกันนั้นทำให้ฉันอบอุ่นใจไปทั้งวัน แม่ก็เหมือนกัน หลายเดือนมานี้ทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์ แม่มักหลีกเลี่ยงเรื่องที่จะทำให้ฉันไม่สบายใจ ทุกครั้งที่วางสายจากแม่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแก้วบางล้ำค่าที่แม่จะไม่มีวันยอมให้ปริร้าว

การเป็นที่รักมันวิเศษอย่างนี้

คงมีสักวันที่ฉันจะทำให้คนที่รักฉันภูมิใจในตัวฉันได้บ้าง

ได้เวลาอาบน้ำแล้วมานอนอาบแสงนีออนให้เสียงทีวีกล่อมนอนอีกคืนแล้วล่ะ

ราตรีสวัสดิ์
๘ สิงหาฯ ๒๕๕๒
๒๓.๓๕ ห้องพัก ๕๑๐ ดินแดง


๏ ฟ้างามอร่ามฟ้า
โอ้ ใจข้าอยากโบยบิน
เยือนฟ้าย่ำเมฆินทร์
ไปเยี่ยมถิ่นเมืองวิมาน

เริงร่ายสู่ปลายรุ้ง
เจิดจรุงอันฉ่ำหวาน
โบยบินให้สำราญ
สุขสนานแดนฉิมพลี

อาทิตย์อัสดง
พลบค่ำลงร่ายแสงสี
ดาวเดือนเกลื่อนราตรี
ริ้วนทีล้อเล่นลม

ฟังเสียงเรไรร้อง
เคล้าทำนองหรีดประสม
กล่อมกาลอันเริงรมย์
มาห้อมห่มฉ่ำในทรวง

น้ำค้างพร่างไพรพฤกษ์
เด่นเดือนดึกลับเลยล่วง
ดาริกาพริบแสงยวง
ดุจแดนสรวงห้วงวิมาน

หิ่งห้อยล่องลอยลิ่ว
กะพริบพริ้วเป็นริ้วม่าน
เกลื่อนกล่นอนธการ
งามอ่อนหวานตระการตา

บทเพลงธรรมชาติ
ยังไหววาดสิเน่หา
แย้มยิ้มยามพริ้มตา
สู่นิทราอ้อมอกอุ่นฯ


ภาพประกอบ : อินเทอร์เน็ต

สวัสดีเพื่อนต่างดาว

ขณะที่ฉันเขียนจดหมายถึงเธออยู่นี้นาฬิกาบอกเวลา 0.00 น.

ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงเริ่มต้นจดหมายด้วยการกล่าวถึงเรื่องเวลา คงเพราะตอนคิดเขียนฉันยังไม่รู้จะคุยกับเธอด้วยเรื่องอะไรกระมัง เมื่อเหลือบเห็นเวลาจึงเอามันมาเป็นบทนำ

0.00 น. เหมือนมันเป็นเวลาสำหรับการเริ่มต้นเลยเธอว่าไหม? เริ่มต้นสิ่งดีๆ อะไรสักอย่าง และฉันก็เลือกที่จะพูดคุยกับเธอ ไม่ต้องยิ้มแก้มป่องขนาดนั้น ฉันรู้ว่าเธอดีใจ และฉันมีความสุขที่ได้รับรู้

เธอรู้สึกบ้างไหม เวลาในชีวิตผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน วันแล้ววันเล่าที่ดวงอาทิตย์หายลับไปกับขอบฟ้าแสนไกลฉันได้แต่นั่งถอดถอนใจ และเมื่อดวงอาทิตย์กลับมาอยู่เป็นเพื่อนอีกครั้งในเช้าวันใหม่ ฉันก็ปล่อยให้แต่ละนาทีผ่านไปเหมือนไร้จุดหมาย เพียงเพื่อจะกลับไปนั่งทอดถอนใจในยามพลบเหมือนเช่นที่ผ่านมา วงจรโง่งมและบัดซบ ทั้งที่รู้แต่ไม่เคยสลัดพ้น

อาจจะจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างจากสิ่งคุ้นเคยต้องใช้กำลังใจมหาศาล และฉันก็เป็นประเภทพวกขาดแคลนกำลังใจที่ว่านั้นเหลือประมาณ

เราจมปลักอยู่ในวังวนคุ้นเคย และยึดถือมันเป็นสรณะด้วยความชาชิน แม้ผลลัพธ์ตอนท้ายจะเป็นเช่นไร เราก็เตรียมข้ออ้างไว้ให้ตัวเองพร้อมสรรพแล้ว นั่นคือกลวิธีปกป้องตนเองที่มนุษย์กระทำ และเธอจะทายถูกเผงเลย ถ้ากำลังคิดว่าฉันก็เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญกลวิธีที่ว่านั่น

บางทีอาจเป็นเพราะชีวิตฉันมีเวลาเหลือเฟือสำหรับให้กระทำทุกสิ่งตามใจปรารถนา จนมองไม่เห็นคุณค่าของมัน ไม่รู้สึกว่าเวลามีค่ามากมายเพียงใด และได้แต่เฝ้างุนงงสงสัย เมื่อใครๆ ต่างพากันโอดครวญว่าไม่มีมัน เมื่อใครๆ ต่างก็เร่งทำโน่นทำนี่เพียงเพื่อให้พอกับเวลาที่จำกัดจำเขี่ยของตน

อาจบางทีเพราะฉันไม่รู้วันสุดท้ายของชีวิต ฉันจึงหลงระเริงอยู่ในความไม่รู้นั้น และคิดว่ามันคงยาวนาน ยาวนานจนพอจะให้ฉันกระทำทุกสิ่งที่ตั้งใจได้หมดสิ้น แม้ฉันจะไม่เริ่มต้นสิ่งที่ตั้งใจในวันนี้ เวลานั้นก็ยังเพียงพอสำหรับฉันอยู่ดี

เห็นไหม? นั่นคือการคิดเข้าข้างตัวเองที่โง่เง่าและเลวร้ายที่สุด!

ในเมื่อเวลาไม่เคยรอท่าทุกสิ่ง และเวลาไม่เคยหวนคืนมาใหม่ ถ้าทุกวินาทีที่ผ่านเลยไปทิ้งไว้เพียงความเปล่าไร้ นั่นคือความล้มเหลวที่สุดในชีวิต ไม่ใช่หรือ?

แม้จะรู้ว่ามันคือความล้มเหลว ฉันก็ยังคงนอนกระดิกเท้าด้วยความไม่แยแส ก็บอกแล้วไงว่าฉันคือผู้เชี่ยวชาญกลวิธีปกป้องตนเอง ฉันมีข้ออ้างเตรียมไว้เป็นตันสำหรับความล้มเหลวที่ว่า เพื่อบูชาตนเองไว้ในความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีมือของความสำนึกผิดใดๆ จะอาจเอื้อมมาถึง

แต่เชื่อไหม? ในความบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้น ฉันกลับทรมาน

0.00 น. สำหรับการเริ่มต้น ฉันหวังจะสลัดความทรมานนั้นออกไปพ้นจากความรู้สึก ฉันหวังว่าจะสร้างกำลังใจให้ตัวเองได้เพียงพอสำหรับการเปลี่ยนแปลงสักสิ่ง ฉันหวังให้ทุกวินาทีที่ผ่านเลยไปได้ทิ้งบางอย่างไว้ให้ฉันได้ภาคภูมิใจเมื่อหันกลับไปมอง

เธอจะเริ่มต้นสิ่งดีๆ ที่ว่านี้ไปด้วยกันไหม?


ด้วยความระลึกถึง
เพื่อนต่างดาวของเธอ
ปลายกรกฎาฯ ๒๕๕๒