๏ สวยปีกสีผีเสื้อระเรื่อฟ้า
กลางเวหาเหินหาวดูพราวเกลื่อน
งามระยับจับตาให้พร่าเลือน
ภาสวรยอนเยื้อนคอยเคลื่อนครา

สายแดดทอดผ่านเป็นม่านแสง
ริ้วจำแลงทอดย่านลงลานหญ้า
ระยิบวิบพริบพรายอวดสายตา
ระยับทาทาบทอลงล้อทาง

งามเงื่อนยูงฝูงเฝ้าอยู่เช้าค่ำ
ชวนดื่มด่ำพร่ำพร้องวงช้องหาง
รำแพนร่ายกรายกรีดประณีตบาง
เลื่อมรติสิกระจ่างมิร้างโรย

ลมรำเพยแผ่วผิวมาหวิวหวีด
ลุ่มสังคีตโลมเล้าผะผ่าวโผย
ระบำใบไกวกวัดระบัดโบย
พระพายโชยชายประทิ่นมารินราย

หลงถวิลกลิ่นแก้วที่แคล้วคล้อย
เมียงชม้อยพลอยอาลัยหวั่นใจหาย
นวลพธูตรู่ทิวามาร้างวาย
ริ้วระบายร่ายโรยระโหยแรง

ก่อนเคยกรุ่นกลิ่นอยู่ไม่รู้สิ้น
เป็นอาจิณร่ำอยู่ไม่รู้แหนง
ฟุ้งตลบอบอวลนวลเจ้าแพง
มาเหมือนแกล้งแล้งลาให้อาวรณ์

คงเช่นรักปักจิตสนิทซึ้ง
ยังรัดรึงตรึงสลักเกินหักถอน
ความซาบซ่านจารจดทุกบทตอน
มิเคยคลอนคลาไคลจากใจนาง

แล้ววันหนึ่งซึ้งรักก็หักหาย
ที่มั่นหมายกลายกลับลับเลือนห่าง
รติรสร้างนิราศสวาทจาง
ดวงใจนางพ่างสะทกเพียงอกพัง

สวยปีกสีผีเสื้อยังเรื่อฟ้า
ว่อนเวหาเหินหาวพราวสะพรั่ง
งามแดดสายฉายอาบฉาบใบบัง
ริ้วนวลปลั่งเรณูไหวลู่ลม

เหมือนอกหญิงไหวหวามในความรัก
มั่นใจภักดิ์หนึ่งชายหมายสู่สม
แต่น้ำคำใจชายคล้ายคลื่นลม
ที่หว่านพรมเรณูทุกผู้นาม

แรกหวานล้ำคำพลอดใช้ออดอ้อน
ใจบังอรหลงละเมอจนเพ้อพร่ำ
ไม่ทันเล่ห์ลมลวงของบ่วงคำ
ช่างกลับกลอกชอกช้ำน้ำใจชาย

คล้ายกลิ่นแก้วแผ่วโผยระโหยหวน
ให้รัญจวนถ้วนนิยามของความหมาย
แรกซึ้งซ่านนานนับก็วับวาย
เช่นใจชาย...กลายกลับ...รักอัปราฯ


ในเรื่องราว:
7 Responses
  1. DiN Says:

    อ่า..เปลี่ยนเป็นรูปอารายเนี่ย!?

    ค่ำ(อีก)แล้วสวัสดิ์ขอรับทั่นสายที่เคารพรัก

    ลายกลอนท่านเดินทางมาถึงอีกโค้งหนึ่งแล้ว ผูกสัมผัสในโยงสลับสับสัมผัสเสียงพยัญชนะ-เสียงสระชวนหวามไหว 'แรกหวานล้ำคำพรอดใช้ออดอ้อน'

    ขอท่านทวนทุกบทซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนลายกลอนฝังเนื้อใจ กล่าวออกทีไรก็ล้วนร่ำสัมผัสพราวพราย โดยมิพักเสกสรรปั้นแต่ง

    อันคำสัมผัสนั้นมั่นว่าใคร ๆ ก็เขียนได้ เมื่อฝึกถึงระดับหนึ่งเราท่านล้วนสามารถเขียนกลอน ดังที่เห็นอยู่ทั่วไป

    แต่ใดเล่าแยกกลอนดาษ ๆ ออกมายืนโดดเด่นให้ผู้คนเรียกขาน 'บทกวี'? (บทกวีที่มิใช่บทกวียุคนี้ที่ใคร ๆ เรียกเรียงอักษรตนเป็นบทกวีกันทั้งประเทศเขตขัณฑ์)

    ข้าพเจ้า่ชื่นชมท่าน เพราะตั้งแต่เราเขียนกลอนกันมา ท่านไม่เคยเรียกเรียงคำท่านว่า 'บทกวี' สักคราครั้ง (ท่านคั่นก็เช่นกัลล์) ข้าพเจ้าไม่ทราบเหตุผลท่านดอกขะรับ แต่ด้วยตนนั้นสำเหนียกอยู่ว่า 'กวี' เป็นคำสูงควรสถิตอยู่ก็เฉพาะเบื้องอันเป็นที่สักการ บุคคลซึ่งรับยกย่องเป็นกวีในอดีตมีน้อยกว่าน้อย ท่านผ่านโลกยาวนาน สร้างงานไว้มากมายจนเป็นที่ยอมรับ คำ 'บทกวี' เกี่ยวเนื่องกับ 'กวี' ซึ่งเป็นผู้รังสรรค์บทกวีอย่างไม่อาจแยกจากกัน

    อาจเป็นด้วยยุคอันเราร่วมลมหายใจอยู่นี้ใช้คำบทกวีโดยแปลความจาก 'Poem' ของฝาหรั่งมังค่า คำ 'บทกวี' จึงถูกใช้ดาษดื่น "ฉันเขียนบทกวี" "เธอเขียนบทกวี" คนเขียนกลายร่างเป็น 'กวี' โดยมิต้องมีใครมายอยก เกิดยุคกวีเกลื่อนเมือง

    ท่านคิดว่าสิ่งใดแยกคำสัมผัสทั่วไปออกจาก 'บทกวี' ขะรับ?

    ข้าพเจ้าไม่มีคำตอบดอกนะ เพราะตัวเองไม่รู้ เดาเอาว่าสิ่งนั้นคือ 'สุนทรีย์รส' (สุนทรีย์รสมีอะไรบ้างขอทางลองค้นดูในกระท่อม WP)

    ประตูแห่งสุนทรีย์รสอยู่ที่ใดข้าพเจ้ามิอาจทราบ ทั้งตัวเองก็ไม่เคยกรายใกล้ แต่ประตูนั่นมีกลิ่น กลิ่นหอมรวยรินในสายลมแผ่ว แม้นไม่รู้มาจากทิศทางใด แต่สามารถรับรู้ว่ามีอยู่

    ข้าพเจ้าได้กลิ่นนั่นจากลายกลอนท่าน

    จากนี้เมื่อท่านอ่านกลอนทั่วไป หากลายไม่ถึงท่าน ท่านก็จะเห็นว่าเป็นคำสัมผัสดาษ ๆ เพียงนำคำมาโยงร้อยกันด้วยบังคับสัมผัส ไม่อาจไปให้ไกลกว่านั้น ความไพเราะจึงถูกจับขังเหมือนเสียงนกกางเขนในกรง ไหนเลยไพเราะเยี่ยงยามเกาะกิ่งไม้ใต้ร่มใบ

    กลอนบทนี้ยังเป็นเพียงก้าวแรกเข้าสู่โค้ง หากท่านโพสท์บอร์ดคงได้รับแต่คำชม ซึ่งข้าพเจ้าเองก็คงไม่กล้ากล่าวทักท้วงเพราะจะกลายเป็นแย้งคำนิยมของเหล่าสหายหนอน

    อันคำนิยมชมชอบนั้นดีอยู่ ก่อพลังใจให้เขียนต่อไป แต่จะมีประโยชน์ใดเล่าหากเอาแต่เขียนวนอยู่กับความผิดพลาดซ้ำเดิม

    ท่านเข้าโค้งเพื่อสู่ทางสายตรงของบทกลอนสละสลวย แต่เพียงเข้าโค้งก็ตกข้างทาง!

    สัมผัสสละสลวยแต่หาความหมายไม่ทำลายรสเสียสิ้นเชิง

    แม้เพียงตำแหน่งเดียว งานทั้งชิ้นก็ถูกทำลายสิ้น ข้าพเจ้าเองไม่มั่นใจเพราะหาใช่ผู้เชี่ยวช่ำเรื่องคำไทย เพียงพบบางคำที่ยังเป็นปัญหาโดยขี้เลื่อยน้อยไม่อาจควานความหมาย เช่น 'ระเรื่อ' ข้าพเจ้าคิดออกแต่ 'เรื่อ' 'ปีกผีเสื้อระเรื่อฟ้า' คิดภาพแล้วกระำไรอยู่ เพราะไม่เคยพบเห็นผีเสื้อเต็มท้องฟ้า หรือบินขึ้นจนระบายสีปีกบนท้องฟ้าได้เหมือนแสงสีจากตะวัน 'แม่รำแพง' เป็นต้นไม้หรืออะไรชนิดใด? และ 'รวิวรณ์' แปลว่าอะไรฤา?

    หากมีคำตอบข้าพเจ้าก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตา แลเป็นผลดีต่อตัวเองที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกัน หากไม่! ความงดงามทั้งหมดของแทบทุกวรรคบทนับว่าถูำกทำลายด้วยคำเหล่านี้..ขอท่านพิจารณา

    ในทุกบทมีสัมผัสสวยอยู่มากมาย อ่านแล้วได้สัมผัสรส 'พ่างสะทกเพียงอกพัง' ให้ความสุขแก่คนรักรสฉันทลักษณ์นิพนธ์ หวังท่านรักษาไว้และเดินหน้าต่อไปสู่ลายกลอนสละสลวย ไม่ยินยอมให้คำไร้ความหมายทำลายรสกลอนเสีย

    หากถามว่า 'เส้นทางสละสลวยข้างหน้าเป็นอย่างไร?' 'ทางสายตรงเส้นนั้นอยู่ที่ใด?'

    มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากสองวรรคนี้ 'ระยิบวิบพริบพรายอวดสายตา
    ระยับทาทาบทอลงล้อทา' ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นกลิ่นหอมของสุนทรีย์รส ขอท่านติดตามกลิ่นนี้ไป ไม่ต้องห่วงข้าพเจ้า ปล่อยข้าพเจ้างมโข่งในคูข้างทางนั่นล่ะ..ดีแล้ว!

    กระท่อมน้อยคอยฝน
    ต้นตุลาฯ


  2. ค่ำคืนสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านดิลล์ที่เคารพรัก

    ใครบอกท่านว่าข้าพเจ้าแหกโค้ง? ข้าพเจ้าวิ่งทางตรงเจ้าค่ะ ไม่มีโค้งไหนให้เลี้ยว มีแต่ตรงดิ่งสู่เป้าหมายลูกเดียวเลย ^^

    ขอบคุณท่านสุดสวาดิขาดใจเลยสำหรับคำติติงแนะนำที่มีให้กันเสมอ ข้าพเจ้ายังนึกไม่ออกเลยหากไม่มีท่านคอยชี้นำชี้แนะแกะเกามาตลอดร่วมรอบปีที่ผ่านมา ลายกลอนในวันนี้ของข้าพเจ้าจะเป็นยังไง

    ถ้าให้ข้าพเจ้าเปรียบท่านเป็นอะไรสักอย่างในจักวาลนี้ ข้าพเจ้าจะเปรียบให้ท่านเป็นดาวเหนือที่สุกสกาวอยู่บนฟากฟ้า คอยชี้ทางให้นักรอนแรมสัญจรอย่างข้าพเจ้าได้ย่ำเท้าไปสู่จุดหมายปลายทางสมความตั้งใจ ใช่ว่านักเดินทางจำต้องเดินตามดาวเหนือไปจึงจะพบจุดหมาย แต่ดาวเหนือจะคอยบอกว่าทิศใดเป็นทิศใดไม่ให้นักเดินทางเซ่อซ่าอย่างข้าพเจ้าต้องหลงทิศจนหาจุดหมายไม่เจอ

    ไม่เพียงแต่ท่านจะเป็นดาวเหนือแต่ท่านยังเป็นคบไฟคุโชนที่จุดประกายไฟในตัวข้าพเจ้าให้ลุกโพลงขึ้นมา

    ถ้าท่านยังไม่รู้ ข้าพเจ้าก็จะบอกให้ท่านรู้เดี๋ยวนี้เลยว่า นอกจากกลอนหนึ่งบทสี่วรรคที่ข้าพเจ้าเคยเขียนส่งคุณครูในวิชาภาษาไทยสมัย ม.2 แล้ว ในชีวิตนี้ข้าพเจ้าไม่เคยเขียนกลอนใดๆ อีกเลย ไม่ว่าจะเป็นกลอนรัก กลอนวัยรุ่น กลอนกระจุ๋มกระจิ๋มของหนุ่มสาววัยกระเตาะ จนเมื่อข้าพเจ้าได้มารู้จักนาม ‘ธุลีดิน’ ในบอร์ดหนอน และได้อ่านกลอนรักของพ่อเจ้าประคุณ หัวใจสาวของข้าพเจ้าก็ซู่ซ่า ปั๊มเลือดสูบฉีดร้อยแรงม้าจนแก้มแดงปลั่งเป็นลูกตำลึงสุก(ถ้าสงสัยว่าตำลึงสุกเป็นยังไง ลองไปถามคุณทองดี โคกกระโดน ดูแล้วทั่นจะรู้คำตอบ) ขนลุกพรึบไปทั้งร่าง

    ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็พบว่าบทกลอนได้สะแหลนมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อในหัวใจข้าพเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว และให้ตายเถอะ ข้าพเจ้ารู้สึกยินดียิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่ชุดรางวัลที่หนึ่งที่รับเงินเหนาะๆ มากว่าร้อยล้าน เมื่อท่านเข้ามาแนะนำโน่นนิดนี่หน่อยตั้งแต่ช่วงแรกที่หัดเขียน

    บอกไปท่านก็จินตนาการตามไม่ถูกหรอกว่าความยินดีของข้าพเจ้ามีมากมายแค่ไหน เพราะมันกว้างใหญ่ยิ่งกว่ามหานทีสีทันดร สูงแสนยิ่งกว่าต้นถั่วของแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ และคุคลั่งยิ่งกว่าเสื้อสองสี ^^!

    ท่านบอกให้ข้าพเจ้าอ่านทวนบทกลอนต่างๆ ที่เขียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อมันจะได้ซึมซาบสู่เนื้อใจ ประทับแนบแน่นอยู่ในนั้น

    แต่พ่อเจ้าประคุณ ท่านไม่รู้อะไรซะแล้ว

    กลอนที่ข้าพเจ้าเขียนแต่ละบท กว่าจะเขียนเสร็จ กว่าจะได้นำมาลง ต้องผ่านการอ่านแล้วอ่านอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่นำมาลงโชว์หราอยู่นี่ท่านรู้เถิดว่าข้าพเจ้าปิดตาท่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่มีสะดุดหยุดกึก และต่อจากนี้มันจะผุดขึ้นมาในสมองของข้าพเจ้ายามเผลอไผลอีกนานนับสัปดาห์ๆ

    ใช่แต่เพียงกลอนของข้าพเจ้า แต่กลอนที่ท่านเขียนหลายบทก็ยังทะลึ่งมาอื้ออึงอยู่ในหู เต้นระรัวอยู่ในสมอง และเร้าทำนองอยู่ในหัวใจ ยามเผลอบทกลอนเหล่านั้นจะเล่นทำนองของมันและข้าพเจ้าก็ต้องมนต์สะกดให้ขยับริมฝีปากตาม

    ใช่เพียงเนื้อกลอนที่ฝังอยู่ในเนื้อใจ

    คำชี้แนะของท่านก็ยังประทับแนบแน่น เชื่อเถิด ทุกคำที่ท่านตักเตือนข้าพเจ้าหูผึ่งตาโตคอยสดับตรับฟังตรับอ่าน มิเคยมองข้ามหยามหมิ่น นอกจากจะน้อมรับมาใส่หัวด้วยความสำนึกในเมตตาจิต


  3. (ต่อ)

    พร่ำเพรื่อพรรณนามาก็มากพอแล้ว มาว่าถึงคำท้วงใน ‘กลิ่นแก้ว’ กันดีกว่าเนอะ

    ถ้าถามถึงความหมายของ ‘ระเรื่อ’ โดยไม่มีคำอื่นในวรรคมาเกี่ยวข้อง ‘ระเรื่อ’ คำนี้มีความหมายเช่นเดียวกับ ‘เรื่อ’ เจ้าค่ะ ท่านเคยได้ยินคำนี้มั้ย ‘ชมพูระเรื่อ’

    แต่ถ้ารวมความหมายของทั้งวรรค ตอนเริ่มเขียนวรรคแรกของบทนี้ข้าพเจ้าเขียนอีกแบบนึงคือ ‘สวยปีกผีเสื้อร่ายระบายฟ้า’ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่า ผีเสื้อจะบินได้สูงสักแค่ไหน? จะบินได้สูงจนระบายเต็มฟ้าได้มั้ย? ซึ่งอันนี้ก็ตอบไม่ได้จริงๆ เลยคิดเข้าข้างตัวเองไปว่ามันคงบินได้ล่ะน่า

    พอเขียนเรื่อยๆ ก็ไปเจออีกบท

    ‘สวยปีกสีผีเสื้อยังเรื่อฟ้า
    ว่อนเวหาเหินหาวพราวสะพรั่ง’

    ข้าพเจ้าคิดว่าบทนี้กับบทแรกน่าจะให้เข้ากัน เลยไปปรับแก้บทแรก ออกมาเป็น ‘สวยปีกสีผีเสื้อระเรื่อฟ้า’ อย่างที่ท่านเห็นนั่นแหละ

    ‘แม่รำแพง’ ข้าพเจ้ารู้แค่คำ ‘แพง’ หมายถึง เป็นที่รัก เคยได้ยินคำว่า ‘รอมแพง’ แต่ไม่เจอความหมายในพจฯ ออนไลน์ แต่ก็เข้าใจว่ามันคงเป็นความหมายที่ดี ในวรรคนี้ข้าพเจ้าอยากใช้คำ ‘แพง’ ลงท้ายเพื่อสื่อความหมายถึง ‘กลิ่นที่รักที่ปรารถนา’ และขอยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าข้าพเจ้าเสร่อใส่ ‘รำ’ ไปข้างหน้าเองแหละ เพื่อให้มันได้คล้องกับ ‘ร่ำ’ ตัวหน้า ฮ่าๆๆๆๆ (ขอหัวเราะให้ความฉลาดเฉลียวของตัวเองหน่อยนะท่าน ช่างใจกล้าหน้ารักจริงๆเลยคนอะไรก็ไม่รู้)

    ส่วน ‘รวิวรณ์’ นั่น ข้าพเจ้าลอกเขามา ข้าพเจ้าเคยอ่านเจอที่ไหนสักที่ ‘รุ่งรวิวรณ์’ เลยตัดเอามาใช้ เห็นไหมล่ะ เป็นเรื่องเลย ฮ่าๆๆๆ (ขอหัวเราะรอบสอง)

    ชี้แจงแถลงไขกับข้อข้องใจในกลอนหมดแล้วนา มาว่าถึง ‘กวี’ กันมั่งดีกว่า เมื่อก่อนข้าพเจ้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเผลอเล่นเจ้าล่อเอาเถิดสะเออะไปใช้คำนี้กับเขามั่งหรือเปล่า แต่เมื่อวันหนึ่งข้าพเจ้าไปอ่านเจองานเขียนชิ้นหนึ่ง (ตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่าชิ้นไหน หนังสือเรื่องอะไร) ในงานเขียนบอกว่าหากมีนักเขียนนั่งประชุมกันอยู่ในห้อง และมีกวีสักคนเดินเข้ามา นักเขียนทุกคนจะลุกขึ้นยืนให้เกียรติกวีท่านนั้น ...เพราะกวียิ่งใหญ่กว่านักเขียน

    หันมองดูตัวเอง นักเขียนยังไม่มีปัญญาเป็นกับเค้าเล้ย สะเออะจะเป็นกวี เอาหัวโหม่งก้อนเต้าหู้(อย่างที่ท่านชอบทำ) ให้ขาดใจตาย ยังล้างอายไม่หมดเลย ท่านว่าไหม?

    ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าเลย ...มิอาจเอื้อม...

    (ยังจำได้ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยแหย่ท่านเล่นเรื่องอารมณ์กวียิบๆตอนฝนตก ท่านดันหน้าซื่อตาใสตอกกลับมาว่า อารมณ์กวีคงมิได้อาบน้ำ ยังเจ็บใจไม่หาย ชิ! อารมณ์กวีเรามิได้ซกมกนะ ฮึ!)

    พูดถึงเรื่องอารมณ์ลายกลอนที่อ่านน่ะ ข้าพเจ้าเคยเจอด้วยแหละ ไม่นานมานี้เอง(ก่อนเขียนกลิ่นแก้ว) ตอนนี้ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจว่าความรู้สึกที่ว่านั่นมันคืออะไร เล่นเอาเสียเซ้ลฟ์ไปมากมาย ข้าพเจ้าเสิร์จหาอะไรสักอย่างหนึ่งในอินเทอร์เน็ตแล้วไปเจอคลังกลอน นั่งอ่านๆ ไปข้าพเจ้าแทบอ๊วกแน่ะ มันรู้สึกฝืดๆ เฝือๆ ซ้ำซาก จำเจ ไม่พลิ้วไหว ไม่พาให้ใจล่องลอย ความจริงข้าพเจ้าก็บอกอารมณ์ขณะนั้นไม่ถูกหรอก รู้เพียงว่ายิ่งอ่านๆ ข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว รันทด รู้สึกเหมือนโลกจะทลาย แผ่นดินจะถล่มลงต่อหน้าต่อตา

    ตามอ่านที่พวกคอมเม้นต์เล่นต่อกลอนกัน แล้วไปสะดุดตรงคอมเม้นต์หนึ่ง เขียนแนะนำเจ้าของกลอนชิ้นหนึ่ง เจ้าของคอมเม้นต์แทนตัวเองว่า ‘ครู’ (คาดว่าเจ้าของคอมเม้นต์กับเจ้าของกลอนน่าจะรู้จักกันดี) ข้าพเจ้าอ่านคำแนะนำนั้นก็เห็นว่ามีประโยชน์อยู่พอควร อ่านจบก็รีบดิ่งไปหางานกลอนของท่านผู้นี้อ่านทันที

    แล้วเกิดอะไรขึ้น?


  4. (ต่อ)

    อ่านไม่ทันจบชิ้นที่สามข้าพเจ้าต้องปิดอินเทอร์เน็ตนั่งนิ่งขึงอยู่กับที่ จมจ่อมอยู่ในความหดหู่ที่กระหน่ำถั่งโถมจนข้าพเจ้าแทบหายใจไม่ออก

    แล้วคำถามก็เกิดขึ้น ที่ทำไปทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร? นั่งกลั่นสมองเป็นวันๆ เพียงแค่ให้ได้กลอนมาสักชิ้นนั้นเพื่ออะไร? เพื่อจะยิ้มร่าตอนเขียนเสร็จ และกลับไปนั่งห่อเหี่ยวหมดอาลัยตายอยากเมื่อกลับไปนั่งอ่านทวนครั้งหลังอย่างนั้นหรือ?

    จะมีไหมที่ไม่ว่าจะกลับไปอ่านครั้งไหน เราก็ยังยิ้มร่าสุขใจได้เสมอ?

    ข้าพเจ้าไม่กล้าริเริ่มเขียนกลอนชิ้นใหม่ต่อจากนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะกลับไปนั่งอ่านกลอนที่เคยเขียนไป เพราะข้าพเจ้ากลัวจะเจอกับความหดหู่ที่มันรุมกระหน่ำข้าพเจ้ามาแล้ว

    แม้แต่งานของคนที่ยกย่องตัวเองว่าเป็น ‘ครู’ ยังทำให้ข้าพเจ้าแทบอ๊วก ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงฝุ่นผงไร้แก่นสารปลิวอยู่ในจักรวาลเวิ้งว้าง ที่มีแต่ความเปล่าไร้และเดียวดาย

    ข้าพเจ้ายังนึกถึงท่าน

    นึกถึงครั้งหนึ่งที่เคยยกย่องท่านเป็นอาจารย์และครั้งเดียวกันนั้นที่ท่านปฏิเสธ ข้าพเจ้าเหมือนจะเข้าใจลึกซึ้งในวินาทีนั้นเองว่าทำไมท่านถึงทำเช่นนั้น

    เราล้วนต่างเป็นผู้แสวงหาที่เดินทางสู่จุดหมายของตัวเอง ไม่ควรเลยที่ใครคนใดคนหนึ่งจะต้องเป็นภาระให้อีกคน ขอบคุณที่ท่านปฏิเสธข้าพเจ้าในครั้งนั้น และขออภัยหากครั้งนั้นข้าพเจ้าทำให้ท่านอึดอัดลำบากใจ

    หากพบกลอนสะดุดติดขัดตรงไหนอีก ติงมาอีกนะท่าน ติงกันจนไม่มีอะไรให้ติงกันนั่นแหละ สักวันเถอะ ข้าพเจ้าจะเขียนกลอนให้ท่านหาตำหนิไม่เจอกันสักเสี้ยวขี้ผงเลยเชียว คอยดู! ฮึ!

    คืนนี้นิทราฝันดีนะท่าน

    ห้องน้อยฝนปรอย
    ต้นตุลาฯ


  5. แก้ไปสองจุดก่อนเจ้าค่ะท่านดิลล์

    รวิวรณ์ ---> ภาสวร

    ฟุ้งตลบอบร่ำแม่รำแพง ---> ฟุ้งตลบอบอวลนวลเจ้าแพง

    ส่วนจุดแรก 'ปีกผีเสื้อระเรื่อฟ้า' นั่น ยังคิดไม่ออกจะแก้ยังไงดี มีคำแนะนำป่าวท่าน? ถ้าแก้จุดบนก็ต้องแก้จุดล่างด้วย หรือท่านว่าไง?

    ด้วยความเคารพ


  6. DiN Says:

    แฮ่! อ่านเสียอิ่มเลย

    ขอบพระคุณที่ท่านไม่ถือโทษโกรธเคือง ยกยอปอปั้นเสียกระนั้น แทนน้อมศีรษะรับกลับเบี่ยงหัวเหมือนหยามน้ำใจกัน เกรงวาจาเลอะเทอะเปื้อนปรารถนาดีงามเลยอึกอักอยู่พัก รอปะเพลาเหมาะจึงได้เ่อ่ยความ

    หากจะกรุณาอีกสักนิด คิดว่าท่านคงเผลอลืมลิ้งก์ข้างบนยังใช้คำกูรู อันคำ 'กู' ที่บอร์ดหนอนโดนดูดเทียวนะทั่น ไม่ทราบพอจะรบกวนท่านเปลี่ยนเป็นคุณรูได้ไหมขะรับ :)

    นี่แน่ะทั่น! อ่านท้าวศรีสุดาจันทร์แค่บทแรกก็ให้สะุดุ้งสิบเฮือก! คออ่อนเข่าอ่อน (ดีนะนอนอ่านไม่งั้นคงล้มทั้งยืน)เป็นอันที่ข้าพเจ้าคิดไว้คงต้องรื้อทิ้ง! (อย่างน่าเสียดาย) คิดโยงเรื่องให้ท้าวศรีสุดาจันทร์กับพันบุตรศรีเทพคบหากันก่อนท้าวศรีสุดาจันทร์ถวายตัว เพื่อสร้างบรรยากาศความรักที่ต้องพลัดพราก ต้องต่อสู้กับความขัดแย้งในใจตน เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องขณะหัวใจปวดร้าว ทั้งยังต้องคอยระวังราชภัย

    พลิกงานท่านรพีพรแค่บทแรกก็พบว่าท่านวางให้พันบุตรศรีเทพเป็นญาติท้าวศรีสุดาจันทร์อยู่บ้านมหาโลก เป็นคนที่ท้าวศรีสุดาจันทร์ในวัยแรกรุ่นแอบหลงรัก

    ตรงกันแผงเลยทั่น!

    อย่างนี้เราผู้ตามมาภายหลังสมควรทำเช่นไร เบี่ยงเรื่องไปทางอื่นเสียหรือคงความตั้งใจเดิมดีขอรับ?

    ท่านคงกำลังสุขกับกรำงาน เย็นแระกินข้าวเสียหน่อย กินด้วยกันนะทั่นนะ

    คารวะ

    ป.ล.เรื่องแก้กลอนขอ'นุญาตเคาะผ่านก่อนขะรับ ข้าพเจ้าเองก็คิดไม่ออก


  7. DiN Says:

    หายไปไหนของเค้านะ!


แสดงความคิดเห็น