มิ่งมิตรที่รัก

เริ่มเขียนจดหมายถึงเธอฉบับนี้ฉันเพิ่งกลับจากออกกำลังกาย เหงื่อยังชุ่มตัวอยู่เลย ฉันนั่งอยู่หน้าโต๊ะญี่ปุ่นขนาดใหญ่พอควร เบื้องหน้ามีโน้ตบุ๊กหน้าจอปิดสนิท ซ้ายมือมีกองหนังสือวางเรียงอยู่สี่ห้าเล่ม ขวามือมีน้ำเต้าหู้แก้วใหญ่ยักษ์ไว้ละเลียดซดเมื่อต้องหยุดคิดว่าจะเขียนเล่าอะไรให้เธอฟังต่อไปดี

ตั้งแต่จดหมายฉบับก่อนโน้น ที่เคยเล่าเรื่อง ‘เช้าฤดูหนาว’ ก็เพิ่งวันนี้แหละนึกคึกลุกขึ้นมาออกกำลังกายตอนเช้าอีกครั้ง รู้สึกคึกคักกระปรี้กระเปร่าขึ้นมากมาย

เมื่อวานไปเดินเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือ ไม่ได้ตั้งใจล่วงหน้าหรอกว่าจะซื้ออะไรบ้าง ดูเหมือนไม่มีแผนการแต่แท้จริงก็เป็นแผนการอยู่ในนั้น แผนการที่ตั้งใจว่าจะไม่วางแผนการไงล่ะ ไม่ได้เสาะหาแผนที่บูธต่างๆ ภายในงานอีกเช่นกัน คิดว่าเดินดูไปเรื่อยๆ เห็นอะไรน่าสนใจก็แวะดูแวะเลือก แต่พอเดินดูเข้าจริงๆ เออหนอ...เล่มนี้เคยนึกอยากได้ เล่มนั้นกำลังเสาะหาอยู่ เล่มโน้นก็ตามหามานานแล้ว แต่จะเล่มไหนๆ ก็ต้องตัดใจเดินผ่านไปก่อน เผื่อว่าบางทีจะเจอเล่มที่ใช่กว่ารออยู่เบื้องหน้า ไม่อยากให้เข้าทำนองว่า ‘เจอไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น’ แม้กรณีนี้จะไม่มีขวานให้บิ่น แต่ถ้าเอาแต่ใจงบประมาณในกระเป๋ามันจะเหี้ยนเตียนเอาได้ อีกทั้งยังไปคนเดียวเงินทุนสำรองระหว่างประเทศก็ไม่มีให้หยิบยืม เจอหนังสือถูกใจแต่พอล้วงเข้ากระเป๋า...ว่างเปล่า คงได้กลับมาตีอกชกหัวอยู่ที่ห้องคนเดียว

เจอหนังสือเรื่อง ‘ต้นส้มแสนรัก’ ที่บูธหนึ่ง เคยนึกอยากซื้อมานานนักหนา แต่ไม่ถึงกับมากมายอะไร คงต้องเล่าย้อนไปว่า ครั้งหนึ่งมีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งแนะนำให้อ่าน แถมยังบริการให้หยิบยืมถึงที่ แต่ฉันเอามาวางไว้ให้ฝุ่นเขรอะเป็นแรมปี จนเจ้าของเขาทวงก็ยังไม่ได้อ่าน สุดท้ายก็หอบไปคืนเมื่อเปิดดูได้ไม่กี่หน้า

ตอนหลังถึงมาพบว่ามีเสียงกล่าวขวัญถึงหนังสือเล่มนี้กันหนาหู ล้วนแล้วแต่มาจากนักเขียนที่ฉันพอจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามอยู่บ้าง ถึงได้นึกเสียดายมาจนกระทั่งถึงตอนนี้

แต่เจอกันเมื่อวานก็ใช่จะได้เกี่ยวก้อยจับจูงกันมาด้วย ขนาดเล่มเล็กบาง ลดราคาแล้วไม่ถึงร้อย แต่ตอนหยิบขึ้นมาดูสายตามันดันเหลือบไปเห็นเล่มที่วางเคียงกัน ‘ต้นส้มแสนรัก2’ เล่มหนาขึ้นมาหน่อย ถ้าเล่มเดียวก็พอทำเนา แต่สองเล่มแบบนี้ ดูหนังสือที่หิ้วอยู่ในมือแล้ว ซื้อเพิ่มอีกก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้อ่าน จึงตัดใจวางลงคืนที่ ได้แต่ลูบปลอบประโลมน้องเค้าในใจว่า

“เอาไว้ให้ฤกษ์งามยามดีกว่านี้อีกหน่อยนะจ๊ะ แล้วพี่จะมารับไปอยู่ด้วย”

ถึงกระนั้น ตอนเดินออกมาสายตายังละห้อยมอง

ออกจากศูนย์ประชุมฯ ได้หนังสือติดมือมา 5 เล่ม เพียงพอสำหรับอ่านไปถึงปีหน้า ปีหน้าจริงๆ นั่นแหละ เอาแค่เรื่อง ‘ตัว**-ของ**’ โดยท่านพุทธทาส ขนาดหน้า 450 หน้า เล่มเดียว ก็ไม่ต้องพูดถึงเล่มอื่นอีก

กลับถึงห้องพักหยิบหนังสือออกมาชื่นชมไม่ทันได้เปิดอ่าน เพื่อนรักก็โทรมาเรียกตัวออกไปธุระ แม้จะไม่อยากออกไปไหน แต่จะปฏิเสธก็ใช่ที่ ฉันพึ่งพาเธอมาเสมอ ถึงเวลาเธอพึ่งพาฉันบ้างฉันกลับไม่ดูดำดูดี ก็คงเป็นเพื่อนระยำไปแล้ว

เสร็จธุระของเธอก็ประจวบเหมาะช่วงรถติด ถือโอกาสแวะเข้าทานมื้อค่ำที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เพิ่งหายป่วย หายไอ หายเจ็บคอแท้ๆ ก็ฟาดของทอดของมันเข้าไปเต็มเหนี่ยว ทั้งน้ำผลไม้หวานเจี๊ยบชื่นใจ ตบท้ายด้วยไอศกรีมอีกแท่ง ไม่กลับมานอนไอทั้งคืนก็บุญเท่าไหร่แล้ว

แค่ก้าวออกจากร้านอาหาร สายตาเรดาร์ของเพื่อนรักก็เหลือบไปเห็นป้ายโฆษณาลดราคาตั๋วหนังประจำวันพุธที่ติดอยู่บนเพดาน เวรกรรมอันใดก็ไม่รู้ ถึงได้ดลบันดาลให้เมื่อวานนี้เป็นวันพุธเสียด้วย ทั้งที่ปฏิเสธไปแล้ว แต่พอเค้าบอก “เดี๋ยวเลี้ยง” ก็หูผึ่งตาโต เดินตามเค้าไปต้อยๆ นิสัยนี้เห็นควรต้องเร่งขัดเกลาโดยเร่งด่วน

ช่วงรอรอบหนังคงไม่มีอะไรน่าพิสมัยเท่ากับการเตร็ดเตร่อยู่ในร้านหนังสือ เข้าหมวดโน้นออกหมวดนี้ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ถึงเวลาออกจากร้านจริงๆ ได้ปากกามาด้ามเดียว ราคาแค่ 6 บาท แต่เขียนลื่นนุ่มนวลดีชะมัด ว่าจะหยิบมาสักสองด้าม คิดไปคิดมาฉันไม่ค่อยได้ใช้ปากกามากเท่าดินสอ คงเห่อเขียนสักพักแล้วก็ทิ้งไว้อีก เขียนหนังสือด้วยปากกาทีไร มีแต่ตัวขีดฆ่าเต็มไปหมด จนกลับมาอ่านทวนแล้วพานจะปวดหัว บางครั้งเขียนแทรกมุมโน้นมุมนี้ ถึงเวลาเรียบเรียงต้นฉบับ ข้อความดีๆ(คิดเอาเองนะว่าดี –ฮา)ก็ตกหล่นไปหลายครั้ง ฉันถึงชอบเขียนด้วยดินสอมากกว่า อยากเปลี่ยนประโยคก็แค่ลบออก ถ้าลบไม่ไหวเพราะข้อความมันยาวมาก หรือความคิดไหลเร็วเกินกว่าจะเสียเวลาหยุดลบ จะขีดฆ่าหรือเขียนแทรกเอาบ้างก็คงไม่กระไรนัก ไม่ถึงกับมีลายเส้นลายพร้อยชวนให้ตาลาย อย่างน้อยข้อความยุ่งเหยิงบนหน้ากระดาษก็ได้จัดการไปแล้วบางส่วน

ใครคนหนึ่งเคยบอกไว้ นักเขียนไม่ลบตัวอักษรของตนเอง ข้อความไหนไม่ต้องการก็ใช้วิธีขีดฆ่าทิ้ง ไม่รู้หรอกว่านักเขียนทุกคนจะยึดหลักนี้เหมือนกันหมดหรือเปล่า แต่ฉันไม่เห็นความจำเป็นจะต้องเดินตามใคร ทำในสิ่งที่เราถนัดและสะดวกต่อตัวเราจะดีกว่า

เมื่อครั้ง ม.ต้น สมัยเรียนคณิตศาสตร์กับคุณครูท่านหนึ่ง ข้อสอบของท่านไม่ว่าสอบย่อยสอบใหญ่ กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ต้องเป็นวิธีทำทุกครั้ง แต่ก่อนทำข้อสอบท่านก็จะบอกทุกครั้งเช่นกัน

“โจทย์หนึ่งข้อมีวิธีคิดหาคำตอบเป็นร้อยวิธี ครูไม่สนใจว่าพวกเธอจะใช้วิธีไหนคิดแก้ปัญหา แค่เอาคำตอบมาให้ครูให้ได้ก็พอ”

จะคณิตศาสตร์ อักษรศาสตร์ หรือศาสตร์ไหนก็คงละม้ายคล้ายคลึงกันบางอย่าง

ขณะคิดขณะเขียนเราจมอยู่กับตัวเอง จมอยู่กับความคิดยุ่งเหยิงในหัวก็เพียงพอแล้ว ไยจะต้องมายุ่งเหยิงกับข้อความบนหน้ากระดาษอีกซ้ำสองซ้ำสาม

จะลบวิธีเก่าแล้วคิดคำนวณวิธีใหม่ ขีดฆ่าตัวอักษรกี่พันกี่หมื่นตัวอักษร หรือลบแล้วเขียนซ้ำรอยเดิมอีกกี่พันกี่หมื่นครั้ง สิ่งที่ต้องการคือคำตอบสุดท้ายที่พึงพอใจมิใช่หรือ?

นาฬิกาบอกเวลาว่าฉันนั่งอยู่ตรงนี้มากว่าชั่วโมงแล้ว ก่อนไปออกกำลังกายแช่ผ้าเอาไว้ คงต้องไปซักแล้วล่ะ จดหมายฉบับนี้แค่อยากเขียนมาเล่าโน่นเล่านี่ เปิดซิงปากกาด้ามใหม่ นานๆ จะได้เขียนอะไรด้วยปากกาที แปลกดี

แล้วเจอกันใหม่ฉบับหน้า


ด้วยรัก
สหายน้อย, ดาวสีน้ำเงิน
1 เมษาฯ 2553

0 Responses

แสดงความคิดเห็น