ปิยมิตรที่รักยิ่ง

อีกครั้งที่ฉันจำต้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ บรรยากาศทึบทึม สหายร่วมห้องเพิ่งแพ็คกระเป๋าเดินทางกลับบ้านเมื่อตอนบ่ายจัด ทั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเตรียมการล่วงหน้า ทุกอย่างปุบปับและฉุกละหุก เธอทำงานอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใจกลางการชุมนุมของคนกลุ่มใหญ่ มิตรคนดี- เธอคงยังไม่รู้ว่าดวงดาวของฉันเกิดความแตกแยก มีการแบ่งพวก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพียงเพราะผลประโยชน์ของคนไม่กี่คน ปลุกปั่นบ้านเมืองเสียเละตุ้มเป๊ะ ฉันไม่อยากพูดใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงขอเว้นเสีย

กลับมาที่เพื่อนรักของฉัน ที่เกริ่นถึงการชุมนุมก็เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้ว ห้างสรรพสินค้าอยู่ใจกลางการชุมนุม เป็นเหตุให้ต้องปิดทำการไม่มีกำหนด เธอว่างงานมาสี่วัน เข้าวันที่ห้าไม่มีวี่แววว่าห้างฯจะเปิด เธอจึงแพ็คกระเป๋ากลับบ้าน ทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง

อาจฟังว่าฉันกำลังน้อยใจ เหงา หรือว้าเหว่ เปล่าเลย ฉันไม่ได้รู้สึกใดๆ อย่างที่ว่านั่น นอกจากจะรู้สึกเพียงเงียบและสงบ

ไม่ค่อยบ่อยนักหรอกที่ฉันจะรู้สึกเหงา เพราะฉันคุ้นชินและชื่นชอบความเงียบสงบเป็นชีวิตจิตใจ ฉันสามารถอยู่ในที่เงียบๆ สงบๆ ได้เป็นวันๆ มีแต่คนถามว่าฉันอยู่ได้ยังไง เขาประหลาดใจฉัน แต่เขาไม่รู้หรอกว่า ฉันก็ประหลาดใจเขาเช่นกัน เพราะความเงียบสงบเป็นสิ่งน่าพิสมัยยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ทำไมเขาถึงคิดว่าฉันจะอยู่กับมันไม่ได้?

บางครั้งฉันก็รู้สึกตกใจ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองช่างแปลกแยกและแตกต่างจากชาวบ้านชาวช่องเขาไปทุกที อย่างวันนี้ ฉันกับเพื่อนคุยกันเรื่องการเดินทางกลับบ้าน เธออยากนั่งเครื่อง แต่เธอกลับฉุกละหุกแบบนี้คงหาตั๋วลำบาก รถทัวร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

นึกย้อนกลับไปหลายปีก่อน เราเดินทางโดยรถไฟ ต่อมาก็รถทัวร์ธรรมดา ขยับเป็นรถทัวร์วีไอพี จนตอนนี้อยากไปไหนๆ เครื่องบินก็ส่งเราถึงที่หมายได้ปุบปับทันใจ ใครๆ ก็เป็นแบบนี้ เดินทางไปหาความก้าวหน้า ชีวิตคนเราต้องพัฒนาขึ้น แต่ฉันกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะฉันยังนึกอยากโดยสารรถไฟเหมือนก่อน อยากมองทุ่งนา มองป่าเขา ฟังเสียงสายลมหวีดหวิว เสียงฉึกกะฉักของล้อรถ เสียงกรีดแก้วหูเมื่อรถวิ่งข้ามสะพานเหล็กหรือเข้าอุโมงค์ มองดูเส้นผม เครื่องแต่งกายของผู้โดยสารเต้นไปตามจังหวะสายลม มองภาพงดงามของขอบฟ้ายามเปลี่ยนสีสันอัสดง

เราชื่นชมกับภาพงดงามระหว่างทาง ขณะหัวใจตระหนักว่ามีจุดหมายปลายทางให้มุ่งไปหา ยามนั้นฉันเห็นภาพงดงามทั้งภายนอก และภายใน

เธอบอกว่าฉันเป็นนักฝันเกินไป มีจินตนาการเกินไป ฉันรู้ เธอมิได้ตำหนิติเตียน หรือเย้ยหยันถากถาง กลับกัน สีหน้าเธอยิ้มละไม บอกให้รู้ว่าเธอมิได้ดูถูกความคิดฉันเลยสักนิด และเธอก็มิได้บอกให้ฉันกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ฉันเข้าใจว่า สิ่งใดที่ฉันมีความสุข เธอยินดีให้ฉันคิดฉันทำ และเธอพร้อมรับฟังมันเสมอ

เหมือนกับการใช้ชีวิตของฉันที่ออกจะแปลกประหลาดกว่าชาวบ้านชาวช่อง ชีวิตกลับหัวกลับหางไปเสียหมด ถึงกระนั้นเธอก็เข้าใจ อย่างน้อยฉันก็คิดว่าเธอเข้าใจ

กว่าเธอจะกลับมาฉันมีเวลาอยู่คนเดียวถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม ปกติฉันต้องหาใครสักคนมานอนเป็นเพื่อน แต่ครั้งนี้อยากอยู่ด้วยตัวเองมากกว่า นอนอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ครุ่นคิดโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย บางทีฉันอาจขบปัญหายิ่งใหญ่ที่ผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวได้สักปัญหา ไม่ก็มีความคิดดีๆ เจ๋งๆ ผุดขึ้นในหัวสักอย่าง หรือถ้าไม่ได้อะไรอย่างที่ว่ามาเลยก็อาจเก็บกวาดห้อง สำรวจหนังสือหนังหาที่สุมรุมอยู่ในตู้ บนโต๊ะ ใต้โต๊ะ หัวเตียง คัดแยกเล่มที่อ่านแล้วกับยังไม่ได้อ่าน และจัดการทยอยคืนหนังสือของใครๆ ที่หยิบยืมมา ฉันมั่นใจว่าต้องมีอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสิบเล่มเป็นแน่ และเกินกว่าครึ่งที่ฉันยังไม่ได้เปิดอ่าน หนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้ อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการสะสาง

นอกระเบียงความมืดโรยตัวลงมาแล้ว ป่านนี้เธอคงกำลังนั่งกอดหมอนอยู่บนรถทัวร์ มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง สถานที่ซึ่งคนที่เธอรักรอคอยอยู่ และในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ห้องนี้ คนที่รักเธอคอยส่งใจอำนวยพรให้เธอเดินทางถึงจุดหมายโดยปลอดภัย

ฉบับนี้เขียนมาคุยเล่น บอกเล่าเรื่องราวเสี้ยวหนึ่งในชีวิต หวังว่ายอดมิตรของฉันคงไม่เบื่อที่จะรับฟัง


รักและคิดถึงเสมอ
มิตรน้อย, ดาวสีน้ำเงิน
ก่อนสงกรานต์ 2553

มิ่งมิตรที่รัก

เริ่มเขียนจดหมายถึงเธอฉบับนี้ฉันเพิ่งกลับจากออกกำลังกาย เหงื่อยังชุ่มตัวอยู่เลย ฉันนั่งอยู่หน้าโต๊ะญี่ปุ่นขนาดใหญ่พอควร เบื้องหน้ามีโน้ตบุ๊กหน้าจอปิดสนิท ซ้ายมือมีกองหนังสือวางเรียงอยู่สี่ห้าเล่ม ขวามือมีน้ำเต้าหู้แก้วใหญ่ยักษ์ไว้ละเลียดซดเมื่อต้องหยุดคิดว่าจะเขียนเล่าอะไรให้เธอฟังต่อไปดี

ตั้งแต่จดหมายฉบับก่อนโน้น ที่เคยเล่าเรื่อง ‘เช้าฤดูหนาว’ ก็เพิ่งวันนี้แหละนึกคึกลุกขึ้นมาออกกำลังกายตอนเช้าอีกครั้ง รู้สึกคึกคักกระปรี้กระเปร่าขึ้นมากมาย

เมื่อวานไปเดินเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือ ไม่ได้ตั้งใจล่วงหน้าหรอกว่าจะซื้ออะไรบ้าง ดูเหมือนไม่มีแผนการแต่แท้จริงก็เป็นแผนการอยู่ในนั้น แผนการที่ตั้งใจว่าจะไม่วางแผนการไงล่ะ ไม่ได้เสาะหาแผนที่บูธต่างๆ ภายในงานอีกเช่นกัน คิดว่าเดินดูไปเรื่อยๆ เห็นอะไรน่าสนใจก็แวะดูแวะเลือก แต่พอเดินดูเข้าจริงๆ เออหนอ...เล่มนี้เคยนึกอยากได้ เล่มนั้นกำลังเสาะหาอยู่ เล่มโน้นก็ตามหามานานแล้ว แต่จะเล่มไหนๆ ก็ต้องตัดใจเดินผ่านไปก่อน เผื่อว่าบางทีจะเจอเล่มที่ใช่กว่ารออยู่เบื้องหน้า ไม่อยากให้เข้าทำนองว่า ‘เจอไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น’ แม้กรณีนี้จะไม่มีขวานให้บิ่น แต่ถ้าเอาแต่ใจงบประมาณในกระเป๋ามันจะเหี้ยนเตียนเอาได้ อีกทั้งยังไปคนเดียวเงินทุนสำรองระหว่างประเทศก็ไม่มีให้หยิบยืม เจอหนังสือถูกใจแต่พอล้วงเข้ากระเป๋า...ว่างเปล่า คงได้กลับมาตีอกชกหัวอยู่ที่ห้องคนเดียว

เจอหนังสือเรื่อง ‘ต้นส้มแสนรัก’ ที่บูธหนึ่ง เคยนึกอยากซื้อมานานนักหนา แต่ไม่ถึงกับมากมายอะไร คงต้องเล่าย้อนไปว่า ครั้งหนึ่งมีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งแนะนำให้อ่าน แถมยังบริการให้หยิบยืมถึงที่ แต่ฉันเอามาวางไว้ให้ฝุ่นเขรอะเป็นแรมปี จนเจ้าของเขาทวงก็ยังไม่ได้อ่าน สุดท้ายก็หอบไปคืนเมื่อเปิดดูได้ไม่กี่หน้า

ตอนหลังถึงมาพบว่ามีเสียงกล่าวขวัญถึงหนังสือเล่มนี้กันหนาหู ล้วนแล้วแต่มาจากนักเขียนที่ฉันพอจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามอยู่บ้าง ถึงได้นึกเสียดายมาจนกระทั่งถึงตอนนี้

แต่เจอกันเมื่อวานก็ใช่จะได้เกี่ยวก้อยจับจูงกันมาด้วย ขนาดเล่มเล็กบาง ลดราคาแล้วไม่ถึงร้อย แต่ตอนหยิบขึ้นมาดูสายตามันดันเหลือบไปเห็นเล่มที่วางเคียงกัน ‘ต้นส้มแสนรัก2’ เล่มหนาขึ้นมาหน่อย ถ้าเล่มเดียวก็พอทำเนา แต่สองเล่มแบบนี้ ดูหนังสือที่หิ้วอยู่ในมือแล้ว ซื้อเพิ่มอีกก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้อ่าน จึงตัดใจวางลงคืนที่ ได้แต่ลูบปลอบประโลมน้องเค้าในใจว่า

“เอาไว้ให้ฤกษ์งามยามดีกว่านี้อีกหน่อยนะจ๊ะ แล้วพี่จะมารับไปอยู่ด้วย”

ถึงกระนั้น ตอนเดินออกมาสายตายังละห้อยมอง

ออกจากศูนย์ประชุมฯ ได้หนังสือติดมือมา 5 เล่ม เพียงพอสำหรับอ่านไปถึงปีหน้า ปีหน้าจริงๆ นั่นแหละ เอาแค่เรื่อง ‘ตัว**-ของ**’ โดยท่านพุทธทาส ขนาดหน้า 450 หน้า เล่มเดียว ก็ไม่ต้องพูดถึงเล่มอื่นอีก

กลับถึงห้องพักหยิบหนังสือออกมาชื่นชมไม่ทันได้เปิดอ่าน เพื่อนรักก็โทรมาเรียกตัวออกไปธุระ แม้จะไม่อยากออกไปไหน แต่จะปฏิเสธก็ใช่ที่ ฉันพึ่งพาเธอมาเสมอ ถึงเวลาเธอพึ่งพาฉันบ้างฉันกลับไม่ดูดำดูดี ก็คงเป็นเพื่อนระยำไปแล้ว

เสร็จธุระของเธอก็ประจวบเหมาะช่วงรถติด ถือโอกาสแวะเข้าทานมื้อค่ำที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เพิ่งหายป่วย หายไอ หายเจ็บคอแท้ๆ ก็ฟาดของทอดของมันเข้าไปเต็มเหนี่ยว ทั้งน้ำผลไม้หวานเจี๊ยบชื่นใจ ตบท้ายด้วยไอศกรีมอีกแท่ง ไม่กลับมานอนไอทั้งคืนก็บุญเท่าไหร่แล้ว

แค่ก้าวออกจากร้านอาหาร สายตาเรดาร์ของเพื่อนรักก็เหลือบไปเห็นป้ายโฆษณาลดราคาตั๋วหนังประจำวันพุธที่ติดอยู่บนเพดาน เวรกรรมอันใดก็ไม่รู้ ถึงได้ดลบันดาลให้เมื่อวานนี้เป็นวันพุธเสียด้วย ทั้งที่ปฏิเสธไปแล้ว แต่พอเค้าบอก “เดี๋ยวเลี้ยง” ก็หูผึ่งตาโต เดินตามเค้าไปต้อยๆ นิสัยนี้เห็นควรต้องเร่งขัดเกลาโดยเร่งด่วน

ช่วงรอรอบหนังคงไม่มีอะไรน่าพิสมัยเท่ากับการเตร็ดเตร่อยู่ในร้านหนังสือ เข้าหมวดโน้นออกหมวดนี้ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ถึงเวลาออกจากร้านจริงๆ ได้ปากกามาด้ามเดียว ราคาแค่ 6 บาท แต่เขียนลื่นนุ่มนวลดีชะมัด ว่าจะหยิบมาสักสองด้าม คิดไปคิดมาฉันไม่ค่อยได้ใช้ปากกามากเท่าดินสอ คงเห่อเขียนสักพักแล้วก็ทิ้งไว้อีก เขียนหนังสือด้วยปากกาทีไร มีแต่ตัวขีดฆ่าเต็มไปหมด จนกลับมาอ่านทวนแล้วพานจะปวดหัว บางครั้งเขียนแทรกมุมโน้นมุมนี้ ถึงเวลาเรียบเรียงต้นฉบับ ข้อความดีๆ(คิดเอาเองนะว่าดี –ฮา)ก็ตกหล่นไปหลายครั้ง ฉันถึงชอบเขียนด้วยดินสอมากกว่า อยากเปลี่ยนประโยคก็แค่ลบออก ถ้าลบไม่ไหวเพราะข้อความมันยาวมาก หรือความคิดไหลเร็วเกินกว่าจะเสียเวลาหยุดลบ จะขีดฆ่าหรือเขียนแทรกเอาบ้างก็คงไม่กระไรนัก ไม่ถึงกับมีลายเส้นลายพร้อยชวนให้ตาลาย อย่างน้อยข้อความยุ่งเหยิงบนหน้ากระดาษก็ได้จัดการไปแล้วบางส่วน

ใครคนหนึ่งเคยบอกไว้ นักเขียนไม่ลบตัวอักษรของตนเอง ข้อความไหนไม่ต้องการก็ใช้วิธีขีดฆ่าทิ้ง ไม่รู้หรอกว่านักเขียนทุกคนจะยึดหลักนี้เหมือนกันหมดหรือเปล่า แต่ฉันไม่เห็นความจำเป็นจะต้องเดินตามใคร ทำในสิ่งที่เราถนัดและสะดวกต่อตัวเราจะดีกว่า

เมื่อครั้ง ม.ต้น สมัยเรียนคณิตศาสตร์กับคุณครูท่านหนึ่ง ข้อสอบของท่านไม่ว่าสอบย่อยสอบใหญ่ กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ต้องเป็นวิธีทำทุกครั้ง แต่ก่อนทำข้อสอบท่านก็จะบอกทุกครั้งเช่นกัน

“โจทย์หนึ่งข้อมีวิธีคิดหาคำตอบเป็นร้อยวิธี ครูไม่สนใจว่าพวกเธอจะใช้วิธีไหนคิดแก้ปัญหา แค่เอาคำตอบมาให้ครูให้ได้ก็พอ”

จะคณิตศาสตร์ อักษรศาสตร์ หรือศาสตร์ไหนก็คงละม้ายคล้ายคลึงกันบางอย่าง

ขณะคิดขณะเขียนเราจมอยู่กับตัวเอง จมอยู่กับความคิดยุ่งเหยิงในหัวก็เพียงพอแล้ว ไยจะต้องมายุ่งเหยิงกับข้อความบนหน้ากระดาษอีกซ้ำสองซ้ำสาม

จะลบวิธีเก่าแล้วคิดคำนวณวิธีใหม่ ขีดฆ่าตัวอักษรกี่พันกี่หมื่นตัวอักษร หรือลบแล้วเขียนซ้ำรอยเดิมอีกกี่พันกี่หมื่นครั้ง สิ่งที่ต้องการคือคำตอบสุดท้ายที่พึงพอใจมิใช่หรือ?

นาฬิกาบอกเวลาว่าฉันนั่งอยู่ตรงนี้มากว่าชั่วโมงแล้ว ก่อนไปออกกำลังกายแช่ผ้าเอาไว้ คงต้องไปซักแล้วล่ะ จดหมายฉบับนี้แค่อยากเขียนมาเล่าโน่นเล่านี่ เปิดซิงปากกาด้ามใหม่ นานๆ จะได้เขียนอะไรด้วยปากกาที แปลกดี

แล้วเจอกันใหม่ฉบับหน้า


ด้วยรัก
สหายน้อย, ดาวสีน้ำเงิน
1 เมษาฯ 2553



๏ อุษาสางรางแสงอุ่นแรงอ่อน
เลื่อมระยับซับซ่อนรุ้งยอนสาย
รังสีแรกแทรกฟ้าพรรณราย
อรุณฉายกรายโฉมประโลมลาน

๏ แผ่วสายลมโลมลูบบุปผชาติ
ปทุมมาศไหวเรียงเคียงผสาน
วิหกว่ายคุ้งฟ้าคคนานต์
เริ่มเพลงกาลรวิวารละลานตา

๏ ตื่นเถอะเจ้าเพราโฉมมยุรฉาย
อุษาร่ายพรายเล่ห์สิเน่หา
พร่างอำพรางจางม่านหม่นมนต์ทิวา
จงลืมตาเถิดพธูดูตะวัน

๏ ผ่านค่ำคืนตื่นใจอาลัยนัก
หวามเงารักลวงเหงาล่วงเงาฝัน
ที่พร่ำพรอดกอดใกล้คือใครกัน
จะไม่ถามย้ำยันให้หวั่นใจ

๏ เพียงตระคองพธูมาสู่เช้า
จะพาเจ้าว่ายทิวาอุษาสมัย
ล่วงดำเนินเพลินล่องท่องครรไล
คเนจรร่อนไปในความจริง

๏ ท่ามทิวาที่เห็นเช่นประจักษ์
เจ้าแสนรักจงมองทอดเถิดยอดหญิง
อาจร้อนแดดแผดจ้าน่าชังชิง
เพียงทุกสิ่งจังจริงใช่สิ่งลวง

๏ ด้วยหัวใจดวงนี้นี่แหละเจ้า
ที่จะเฝ้าเคล้าคลอพนอหวง
พาเจ้าผ่านคืนวันฝันทั้งปวง
จนเลยล่วงลุมรรคาอักขราภิรมย์

๏ สู่โลกกว้างลานรักทุ่งอักษร
เลื่อมลายกลอนรัถยาปัทมามาลย์ประสม
เราโลดเล่นเริงร่ายในสายลม
บนผืนพรมอักษราพัตราภรณ์

๏ จวบสายัณห์เยือนหล้าจนคราพลบ
พระสุรีย์เลื่อนลบเหลี่ยมสิงขร
ม่านเงาคลี่คลุมยอดยุคนธร
ก่อไฟฟอนกล่อมเจ้าเข้านิทรา

๑๐๏ โอ้..ดึกดื่นคืนคล้อยดาวลอยคว้าง
อย่าแรมร้างห่างเหสเน่หา
พร่างอำพันจันทร์สว่างกระจ่างตา
จะครวญกลอนกล่อมกานดานิทรารมย์

๑๑๏ แม้ตาหลับมือกลับกระชับมั่น
ในโลกฝันอย่าหวั่นเลยหวานขม
จะเคียงข้างจวบเช้าคอยเฝ้าชม
ย้ำปรารมภ์ยืนยัน..ใช่ฝันไป ฯ

วิมานดาวเคล้ากลิ่นดิน
ค่ำฝนจาง กลางฤดูใจ


-------------


โดย ธุลีดิน : เรไรร่อนร้อง : ย้ำปรารมภ์ยืนยัน..ใช่ฝันไป
ถึง ‘เธอ’ ผู้อยู่ในความคิดถึงเสมอมา


ความเจ็บป่วยของฉันทุเลาเบาบางลงมากแล้ว คงเพราะความสบายใจที่รู้ว่าอาการมิได้หนักหนาอย่างหวาดหวั่น ร่างกายจึงสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตาม ชีวิตก็แบบนี้ ไข้กายไม่เท่าไรแต่ไข้ใจรุนแรงนัก ดึงให้ร่างกายบอบช้ำแสนสาหัส กี่คืนมาแล้วที่ฉันจมอยู่กับน้ำตา กี่พลบมาแล้วที่ฉันกลัวราตรีย่างกราย แท้จริงหาได้หวาดหวั่นกับความเจ็บป่วยไปสักเท่าไหร่ แต่ฉันหวั่นกลัวความเหงาเดียวดายที่สยายปีกโอบล้อม ราวอสุรกายจากขุมอเวจีแสยะเขี้ยวข่มขวัญให้ฉันซุกมุมขดตัวอยู่กับเงาหลืบ หันหาทางไหนพบเจอแต่ความว่างเปล่าให้แอบอิง


ราตรีกาลยามดวงใจมืดมิดมันวังเวงเหลือทน


นั่นแหละสิ่งที่ฉันกลัวยามป่วยไข้ ร่างกายอ่อนแอพาหัวใจบอบบางให้อ่อนแอจนเกินคาดคิด แค่พบพาน ‘ความไม่สะดวกเล็กๆ’ ก็ทำชีวิตเจียนขาดรอน


เคยได้ยินมานักต่อนัก หากทุกข์ไม่ถั่งโถมย่ำยีจนดวงใจป่นปี้ ชีวิตก็ยังกระเสือ-กกระสนหาทุกข์อยู่ร่ำไป แต่หากเมื่อใดทุกข์ย่างกรายจนดวงใจเกินรับ ชีวิตจะเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนวิถี ถ้าไม่เจ็บป่วยคราวนี้ฉันคงไม่รู้ว่าหัวใจนี้มันบอบบางและไหวหวั่นแค่ไหน ยังคงหลงเพริดหลงโง่งมว่ามันแข็งแรงพอจะผ่านทุกปัญหา แท้จริงมันไม่มีปัญญาสักนิด แค่สะดุดก้อนกรวดก็ล้มลงไม่เป็นท่า


หัวใจคงต้องเสริมเกราะเพื่อรับมือกับอุปสรรคนานา แม้หนักหนาสาหัสก็ยังยืนหยัดด้วยตั้งมั่น ไม่ล้มลงแล้วหลอมละลายตนอยู่ในทุกข์ท้ออย่างที่แล้วมา


คงถึงเวลาแล้วที่หัวใจฉันต้องฝึกฝน


นักกีฬายิ่งหมั่นซ้อมเท่าไร ชัยชนะยิ่งเห็นอยู่รำไร นักหัดเขียนยิ่งหมั่นเพียรเท่าไร เหลี่ยมเงาแห่งคมอักษรยิ่งเปล่งประกายแวววาว ไม่ต่างกันเลยกับหัวใจทุรนทุรายดวงนี้ หากขัดเกลา อบรมบ่มนิสัย และฝึกฝนให้ทานทนต่อทุกสิ่ง เชื่อแน่ว่าสักวันความแข็งแกร่งย่อมก่อเกิด


ถึงวันนั้น ยังจะมีอะไรให้ต้องหวาดหวั่น?


ด้วยรักแห่งชีวิต
เมื่อลิ้มรสทุกระทม ปลายมีนาฯ 2553