มิ่งปิยมิตร

ในภวังค์ เราล้วนเดินทางผ่านทุ่งหญ้า ป่าไพร ละหานห้วย ชะง่อนผาสูง ผ่านแผ่นน้ำดำดึก โตรกหลืบลึกลับ หรือแม้แต่สุดทะเลโค้งรุ้ง เราท่องจนปรุทะลุซอกเล็กซอยน้อย ไม่มีเลยมุมไหนจะรอดพ้นรอยเท้าของเรา แต่เรากลับไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง นั่นก็เพราะว่าเราแค่ย่ำเดินอยู่รอบตัวเราเท่านั้นเอง

ทุ่งฝันตระการบรรเจิดอยู่ในจินตนาการอันวิจิตร เส้นทางที่เหยียบย่ำจะราบเรียบหรือขรุขระ เหมือนว่าเรากำหนดได้เองในทุกรายละเอียด แต่ไฉนไยเราจึงมุ่งหมายเส้นทางทุรกันดารกันหนอ

ฉันก็ไม่ต่างเธอที่เซซังดุ่มด้นไปเบื้องหน้า มุ่งหน้าไขว่คว้าฝัน ทุรนทุรายต่อความยากลำบากเพียงไรไม่เคยระย่อท้อ เพราะรู้อยู่ว่าความรู้สึกเหล่านั้นจะมลายหายทันทีที่ได้สัมผัสจุดหมายแม้ปลายสายตา

แต่เธอที่รัก นั่นก็เพียงแค่ความคิดโง่ๆ ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

ฉันตระหนักแท้แล้วว่าจุดหมายหาใช่มีแต่ความปรีดิ์เปรมเกษมสันต์เป็นรางวัลเสมอไป หากแต่บางครั้งกลับโรยหว่านรอยโศกาอาดูรรอคอยอยู่เบื้องหน้า

ฉากชีวิตของคู่รักหนึ่ง และอีกหลายชีวิตซึ่งฉันเฉกสร้างขึ้นมาเป็นส่วนประกอบ ฉันพาพวกเขาดุ่มเดินไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และน้ำตาที่เปียกปอนเปื้อนหน้า ฉันเรียนรู้ความรู้สึกต่างๆ ร่วมไปกับพวกเขา เขายิ้ม ฉันยิ้ม เขาหัวเราะ ฉันหัวเราะ เขาร้องไห้ ฉันก็ร้องไห้ด้วยกัน

วินาทีเหล่านั้นคือรสชาติหวานล้ำของความอิ่มเอมซึ่งเก็บเกี่ยวได้ระหว่างเส้นทาง หากแต่ฉันรู้ดี ไม่มีเส้นทางใดไร้จุดหมาย เมื่อฉันส่งพวกเขาถึงฟากฝั่งฝัน ฉันกู่ร้องด้วยความยินดี เริงระบำเฉลิมฉลองชัยชนะ หัวเราะสุดเสียง ดวงตาระยิบยับพราวพราย หัวใจพองฟูเหมือนลูกโป่งสวรรค์จะเริงร่ายสู่ลมบน แต่เมื่อล้มตัวลงนอน ฉันกลับตื่นขึ้นรับเช้าวันใหม่ด้วยความว่างเปล่า ความสุขสันต์เมื่อค่ำวานปลาสนาการไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้แต่ความอาดูรเทวษทับถม ฉันเพิ่งตระหนักว่าหลายชีวิตที่กระเตงไว้บนบ่าด้วยหน้าที่รับผิดชอบสุขทุกข์ของพวกเขานั้น ทุกชีวิตคือมิตร คือความฝัน คือเสี้ยวหนึ่งของตัวตนฉัน เมื่อฉันต้องพรากจาก ก็เหมือนตัวตนของฉันขาดหาย ความฝันของฉันขาดตอน

ฉันดื่มด่ำความอาดูร ซมซบอยู่ในห้วงเหวเหว่ว้า มีเพียงความอาลัยอาวรณ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากดวงใจหนึ่ง

เธอว่าฉันต้องใช้เวลาและแรงใจสักเท่าใดในการหยัดกายลุกขึ้นมาก่อร่างสร้างฝันใหม่ คลุกคลีกับอีกเสี้ยวชีวิต ทำความรู้จักมวลมิตรใหม่ๆ เพียงเพื่อย้อนกลับสู่วังวนเดิม

ฉันก็เหมือนเธอ ที่ปลายทางหาได้มีค่ามากไปกว่าลมหายใจเข้าออกระหว่างเดินทาง และไม่ว่าดวงดาวสีน้ำเงินจะโคจรมุ่งหน้าไปสู่ที่ใด ห่างไกลจากจุดเริ่มต้นไปมากเพียงไร หญิงสาวบนดาวดวงนั้นก็ยังคงเป็นเช่นนั้น

เป็นเช่นที่เธอเป็น นั่นคือเดินทางและเดินทาง

และหญิงสาวคนนั้นคงไม่ปรารถนาจะรับรู้อีกแล้วว่า จุดหมายและจุดเริ่มจะอยู่ ณ แห่งหนไหน ขอเพียงแค่ให้ได้เดินทางจนสุดลมหายใจ เท่านั้นเอง...


ระหว่างทางฝัน
ปลายกรกฎาฯ 2554

ยอดมิตรคนดี

วิปริตอาเพศคงเกิดแก่ดวงดาวเราทั้งสอง สภาพดินฟ้าอากาศถึงได้ปรวนแปรเกินทานรับ เมื่อไม่นานมานี้เกิดแผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์กวาดกลืนชีวิตผู้คนนับเรือนหมื่น ฉันติดตามข่าวสารด้วยความหวาดตระหนก และหดหู่ยิ่งนัก

ผ่านเรื่องร้ายนั้นมาไม่นานก็ทราบข่าวว่าเกิดเหตุน้ำท่วมในอีกพื้นที่หนึ่ง ผู้คนเดือดร้อนกันถ้วนทั่ว ฉันจะไม่รู้สึกอะไรเลยถ้านี่มันจะไม่ใช่ฤดูร้อน! ผู้คนพากันบ่นระงม พร้อมกับคำถามที่ฉันได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่า

“มันเกิดอะไรขึ้น?!”

ใช่...มันเกิดอะไรขึ้น?! คำถามที่ฉันก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน นักวิชาการหลายฝ่ายพยายามให้เหตุผลน่ารับฟัง เชื่อถือได้ แต่ฉันก็สงสัยอีกแหละว่า ดาวดวงนี้มันวิปริตผิดปกติไปหมดแล้วใช่มั้ย? มันจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม มันจะดำเนินไปในรูปรอยใหม่ นำพาสรรพชีวิตไปสู่เส้นทางสายหายนะ มีบางสิ่งคืบคลานเข้ามาราวหมอกจางๆ ห้อมล้อมอยู่รอบตัวเรา ลอยอวลอยู่โดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว และวันดีคืนดีมันจะคายพิษร้ายพล่าผลาญพวกเราสักครั้ง

เหมือนกับที่มันเกิดขึ้น

ฉันไม่ได้โทษมันหรอก มนุษย์สมควรโดนพล่าผลาญ เราทำร้ายทำลายดวงดาวอย่างอมหิตเลือดเย็น แม้จะมีใครสักคนร้องแรกแหกกระเชอ ให้ผู้คนส่วนใหญ่หยุดคิด หยุดหันหลังกลับมามองสิ่งที่ตัวเองกระทำ แต่มันสายไปแล้วเธอจ๋า ต่อให้เยียวยาอย่างไรบาดแผลบนดวงดาวก็ไม่มีวันเหมือนเดิม และที่ร้ายยิ่งกว่าคือ ไม่มีใครคิดเยียวยาจริงจัง การรณรงค์ต่างๆ เกิดขึ้นแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ราวคลื่นกระทบฝั่ง วูบเดียวแล้วจางหาย แล้วผู้คนก็หลงระเริงเพิ่มบาดแผลเหวะหวะให้ดวงดาวนับแสนนับล้านรอย เรากิน เราใช้ เราสูบเลือดเนื้อดวงดาวของเรา แล้วเราก็ทิ้งซากกากเดนละเลงดวงดาว

เธอว่าสมควรมั้ยที่พวกเราจะต้องชดใช้?!

ที่ซึ่งฉันพักอาศัยอากาศหนาวมานับสัปดาห์ แม้ฉันจะชื่นชอบฤดูหนาว แต่อากาศหนาววิปริตในช่วงฤดูร้อนก็ไม่อาจทำใจให้ชื่นชอบได้ลง ยามย่างเท้าออกจากที่พัก ลมหนาวพัดวูบ เสียดไปถึงกระดูก เดินผ่านตึกรามบ้านช่อง ผ่านผู้คนมากมาย พวกเขาล้วนสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ กอดอกห่อตัวเองมิดชิด พลันให้คิดไปถึงฉากในละครซีรีส์ ที่ตัวละครสวมสเวตเตอร์ทับเสื้อโค้ทคลุมสะโพก สวมถุงมือแล้วซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทอย่างมิดเม้น หายใจออกมาทีเป็นควันลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ดูละครคราวใดก็คิดว่าช่างเป็นบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกเสียนี่กระไร แต่เมื่อมาเจอกับตัวในฤดูแปลกเปลี่ยนเช่นนี้ ถึงแม้จะไม่หนาวจัดขนาดนั้น ก็รู้สึกว่าบรรยากาศช่างซึมเซาเศร้าสร้อยยิ่งนัก

หรืออาจจะเพราะข่าวหดหู่หลายข่าวประดังประเดก็เหลือจะเดา

เจ้านกพิราบที่ริมระเบียงมันเปลี่ยนที่ทำรังใหม่อีกแล้ว รังเก่าของมันอยู่บนพื้นตรงร่องสะดือระบายน้ำ ฟักไข่สองฟองก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย จู่ๆ วันหนึ่งไข่ของมันหายไปฟองนึงอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้แต่ปริศนาดำมืดให้ผู้อยู่เบื้องหลังอย่างฉันเฝ้าคิดสงสัยว่ามันหายไปได้อย่างไร แต่เจ้านกผู้เป็นพ่อเป็นแม่คงไม่เดือดร้อนใจ เจ้าตัวแม่ทิ้งรังและไข่หนึ่งฟองที่เหลือออกเริงร่อนไปได้พักหนึ่ง ก็กลับมาป้วนเปี้ยนอยู่บนระเบียงใหม่อีกรอบ คราวนี้กลับมาทำรังในกระถางต้นไม้ เรี่ยมเร้ยิ่งกว่าเก่า เผลอแป็บเดียวก็ไข่ออกมาให้ฟักอีกสองฟอง และตั้งแต่นั้นมันก็นอนฟักไข่ใหม่ในรังใหม่ ทิ้งไข่เก่าในรังเก่าให้นอนโต้ลมหนาวเดียวดายไม่ไยดี

บนระเบียงเริ่มมีกลิ่นอึของมันโชยมาบ้าง บางวันหงุดหงิดฉันก็อยากไล่มันไปให้พ้นๆ แต่เมื่อคิดว่าช่วงนี้อากาศกำลังหนาว ขนาดฉันสวมเสื้อตัวหนาห่มผ้าหนาๆ ยังนอนสั่น แล้วมันมีแต่ขนคลุมตัว หากไล่ไปเผชิญลมหนาวข้างนอกจะทุกข์ทนแค่ไหน ก็จำตัดใจให้มันนอนกกไข่ไปอย่างนั้น ถึงอย่างไรเราก็สัตว์ร่วมโลกเดียวกัน

ขออวยพรให้ทุกชีวิตผ่านพ้นคืนวันเลวร้ายไปได้ด้วยดี


สหายน้อยของเธอ
ห้องน้อยในสายลมหนาว
ปลายมีนาคม 2554



เธอที่รัก...

ฉันเพิ่งเดินทางไกลไม่นานมานี้ ไกลในระยะทางซึ่งนานๆ ทีฉันจะมีโอกาสสักครั้ง อันที่จริง ถ้าจะพูดถึงโอกาสฉันคงหาได้ไม่ยากเย็น เสียแต่ฉันมีข้อแม้ให้ตัวเองมากไปหน่อย การเดินทางของฉันจึงจำต้องเข้าข่าย ‘นานๆ ที’ ไปโดยปริยาย แต่คราวนี้ฉันพยายามกำจัดข้อแม้เหล่านั้นออกไปได้ และฉันก็พบว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย

ก็แค่...ตัดสินใจ และยืนยัน

บนขบวนรถไฟมุ่งหน้าสู่เมืองหนาวของสยามประเทศ กลับพาหัวใจฉันโบยบินย้อนวันสู่วัยเยาว์ นับเนื่องได้ราวเกือบสิบปีแล้วสินะ ภาพความทรงจำสีสดใสเหล่านั้นมาเต้นเร่าอยู่เบื้องหน้า ละม้ายว่าวันวารในรอบเกือบสิบปีเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันนี้เอง

เด็กสาวกลุ่มหนึ่งนัดแนะกันไปนอนบ้านเพื่อน เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย บ้านที่เราตกลงใจจะไปขออาศัยค้างชั่วคราวเป็นบ้านของเพื่อนร่วมชั้นเรียน แต่คนละกลุ่ม ฉันรู้จักเธอในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ไม่สนิทสนมเท่าเพื่อนสนิท แต่ไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนอันใดเลยในเมื่อเพื่อนในกลุ่มฉันก็ตกลงใจจะไปค้างที่นั่นกันทั้งหมด

เรานัดแนะกันอย่างนั้นจวบจนกระทั่งวันหรือสองวันก่อนเดินทาง

เช้าวันหนึ่งมีคนมาบอกยกเลิกแผนการทั้งหมด เพื่อนในกลุ่มทุกคนจะไปรวมตัวกันที่บ้านเพื่อนอีกคน ซึ่งเป็นบ้านเพื่อนในกลุ่มของเราเอง ใครคนหนึ่งมาถามฉันว่าจะเอาอย่างไร ไปกับพวกเขา หรือจะไปตามแผนการเดิม? นั่นหมายความว่าถ้าฉันเลือกไปกับพวกเขา ฉันจะพรั่งพร้อมด้วยเพื่อนทั้งกลุ่ม แต่ถ้าฉันยืนยันความตั้งใจเดิม ฉันก็ต้องแตกกลุ่มไปคนเดียว

แต่แม้จะรู้อย่างนั้นฉันก็ยังเลือกอย่างหลัง

ฉันรู้ดีทีเดียวว่าทำไม? บางครั้งเราก็ต้องเลือกกระทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อยืนยันความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้ยืนยันกับใครเลย แต่ยืนยันกับหัวใจของเรานี่แหละ ว่าไม่มีใครมามีอิทธิพลเหนือความคิดการตัดสินใจของเราได้ ครั้งหนึ่งแม่เคยบอกว่าฉันติดเพื่อน เพราะเลิกเรียนทีไรฉันมักทำตัวเหลวไหลกลับบ้านล่าช้าเสมอ แต่เปล่าเลย ฉันรู้ดีแก่ใจทีเดียวว่าฉันไม่ได้เป็นอย่างแม่ว่าสักนิด และการตัดสินใจในคราวนั้นก็ยืนยันได้ดี

เราย่อมได้อะไรบางอย่างจากการเดินทางเสมอ การเดินทางในคราวนั้นก็เช่นกัน

เด็กสาวคนหนึ่งมานั่งรอฉันอยู่แล้วที่จุดนัดพบ ทันทีที่เราเจอกันเธอยิ้มให้ แล้วเดินนำฉันไปขึ้นรถโดยสารเพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านเธอ ระหว่างการเดินทางฉันครุ่นคิดกังวลสารพัดอย่าง ไม่ว่าจะ ทางบ้านเธอจะเป็นอย่างไร จะยินดีต้อนรับฉันมั้ย พ่อแม่เธอใจดีหรือเปล่า ฉันจะอึดอัด หรือเจ้าของบ้านจะอึดอัดไหมนะ

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเราก็เดินทางถึงจุดหมาย บ้านของเธอเป็นบ้านไม้สองชั้นขนาดกะทัดรัด ทาสีเหลืองสดใส สมาชิกครอบครัวมีทั้งหมดหกคน พ่อ แม่ ลูกชายสอง และลูกสาวสอง เธอเป็นคนสุดท้อง ฉันมีโอกาสได้เจอพี่ชายและพี่สาวของเธออย่างละคน ความกังวลทั้งหมดทั้งมวลของฉันมลายหายไปทันทีที่ฉันได้ทำความรู้จักกับพ่อและแม่ของเธอ พ่อเป็นข้าราชการครู ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน ท่านทั้งสองใจดีและมีเมตตา แม่ลุกขึ้นมาทำอาหารตั้งแต่ยังไม่สว่างเพื่อให้เราได้ทานก่อนไปสอบทุกวัน และเมื่อกลับถึงบ้านในตอนเกือบค่ำก็มีอาหารรอพร้อมอยู่บนโต๊ะ ก่อนนอนในแต่ละคืนเราพูดคุยกันสารพัดเรื่อง ทั้งเรื่องครอบครัวของเธอ ครอบครัวของฉัน ความฝันของเราทั้งสอง เรื่องเพื่อน เรื่องครู อนาคตข้างหน้า ถึงบัดนี้ฉันจำไม่ได้แล้วว่าฉันใช้เวลาอยู่ที่นั่นกี่วันกี่คืน แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นก็ทำให้ฉันได้รู้จักเธอผู้เป็นเพื่อนของฉันมากขึ้น ได้เห็นความผูกพันอันแสนอบอุ่นในครอบครัวเธอ แค่เวลาไม่กี่วันที่นั่นทำให้ฉันรู้จักเธอมากกว่าเวลาทั้งสามปีที่เราคบกันในห้องเรียนเสียอีก

แม้ผลสอบจะไม่ออกมาตามหวัง แต่ประสบการณ์ในครั้งนั้นทำให้รู้ว่าตัดสินใจไม่ผิด

เธอที่รัก การเดินทางในครั้งนี้ก็เช่นกัน กับเพื่อนกลุ่มเดิม และการเปลี่ยนแผนการกะทันหันซ้ำรอยเดิม ฉันก็ยังยืนยันความตั้งใจเดิม บนขบวนรถไฟที่มีฉันกับเพื่อนอีกคน บนเส้นทางที่ไม่เคยคุ้น ไม่อาจรู้ได้ว่ามีอะไรรอเราอยู่ข้างหน้า

แต่การเดินทางย่อมให้อะไรบางอย่างกับเราเสมอ คราวนี้ก็อีกนั่นแหละ ฉันคงไม่ต้องบอกเธอหรอกนะว่าฉันได้อะไรมาบ้าง ถ้าเธอเคยเดินทาง เธอก็คงรู้


ระลึกถึงเสมอ
หญิงสาวบนดวงดาวความฝัน
ปลายกุมภาพันธ์ 2554



ดวงใจฉัน

ปีนี้ฤดูหนาวยาวนานเหลือเกิน ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกเหมือนฉันมั้ย แต่ร่วมเดือนมาแล้วที่ฉันไม่ต้องพึ่งพาเครื่องทำความเย็น ตื่นรับเช้าวันใหม่ก็มีผ้าห่มพันอยู่รอบตัว มันไม่หนาวนักหรอก กำลังอบอุ่นสบายเชียวแหละ และคงไม่ต้องบอกเธอหรอกนะ ว่าฉันชอบแค่ไหน

มีเรื่องน่าตื่นเต้นยินดีจะเล่าให้เธอฟังด้วยล่ะ

ฉันเคยบอกเธอหรือยัง? ว่าระเบียงห้องฉันมีนกพิราบคู่ผัวเมียมาทำรังอยู่ด้วย เปล่า- อย่าได้หลงคิดว่าฉันรักสัตว์จนกางปีกออกต้อนรับพวกมันหน้าบานอะไรขนาดนั้น เรื่องนี้ไม่น่ายินดีเลย ออกจะน่ารำคาญด้วยซ้ำ ฉันเคยคิดจะตะเพิดไล่มันไปตั้งหลายครั้งแล้ว ก็มันชอบส่งเสียงดังหนวกหู ก่อความรำคาญไม่หยุดหย่อน

ใหม่ๆ มันเริ่มต้นด้วยการแวะเวียนมาพลอดรัก ตอนนั้นฉันตื่นเต้นอยู่หรอก ก็แหม นานๆ จะมีอาคันตุกะพิเศษมาเยี่ยมเยียนใกล้ชิดกันขนาดนั้น เป็นใครก็ต้องยินดีเป็นธรรมดา หลังจากนั้นมันเล่นมาทุกวันเลยนี่สิ ชักจะไม่ธรรมดาแล้ว แต่ฉันยังไม่เอะใจอะไรหรอก นึกว่ามันจะแค่ติดใจสถานที่ติ๊ดชึ่งใหม่เท่านั้นเอง ก็เหมือนคน ที่ชอบเห่ออะไรใหม่ๆ เป็นพักๆ แต่จนแล้วจนรอด เกือบเดือนมันก็ยังไม่เบื่อ ทีนี้ล่ะเริ่มเอะใจ ไปด้อมๆ มองๆ ว่ามันแอบทำอะไรไม่บอกไม่กล่าวกันรึเปล่า จริงๆ ก็เกรงใจมันอยู่หรอกนะ เหมือนจะไปละล้าบละล้วงเรื่องส่วนตัวของมันอย่างไรไม่รู้ หวั่นไปว่าจะโผล่ไปจ๊ะเอ๋ตอนมันกำลังจู๋จี๋ดู๋ดี๋กันอยู่ เลยต้องแอบๆ ไปตอนมันไม่อยู่ แล้วก็เห็นจะๆ ตา หลักฐานคาหนังคาเขา มันแอบมาทำรังอยู่ซอกกระถางต้นไม้นั่นเอง ปิดทางระบายน้ำอีกต่างหาก โป๊ะเช๊ะอยู่ตรงสะดือน้ำ ให้ตาย มันเป็นนักหาทำเลที่เยี่ยมยอด!

รังของมันเป็นเศษกิ่งไม้และใบไม้ ปิดพื้นปูนแทบไม่มิด ไม่รู้ว่ามันไปคาบมาจากไหน คาบมาตอนไหน และคาบมาได้อย่างไร รู้แค่ว่า มันขอแบ่งพื้นที่ใช้ประโยชน์โดยไม่ทำเรื่องยื่นขอมาเป็นลายลักษณ์อักษร หรือแม้แต่บอกกล่าวให้เจ้าของสถานที่รับรู้ แบบนี้มันเข้าข่ายลักลอบบุกรุกพื้นที่กันชัดๆ เจ้าของตัวจริงอย่างฉันจึงต้องปกป้องสิทธิ์ของตนเองโดยการใช้มาตรการกระชับพื้นที่ ฉันรดน้ำต้นไม้จนท่วมระเบียงทุกวัน รังมันเปียกแล้วเปียกอีก แต่มันไม่ยักกะไปไหน

มันหน้าด้านหน้าทนจังเลยนะ เธอว่ามั้ย?

อยู่มาอีกหน่อยมันชักเอาใหญ่ ถือว่ายึดระเบียงได้เลยเหิมเกริม คิดขยายฐานที่มั่น วันหนึ่งฉันกลับเข้าห้องตอนค่ำ เจ้าตัวผู้มันเข้ามาเกาะอยู่บนหลังตู้เสื้อผ้า ดู๊ ดูมันทำ มันกะจะยึดห้องฉันทั้งห้องหรือไร ไล่มันแล้วก็ไม่ยอมไป คำว่า ‘หน้าด้าน’ คงไม่พอสำหรับมันแล้วล่ะ ฉันประนีประนอมด้วยการให้มันนอนร่วมห้องด้วยหนึ่งคืน ใจจริงก็นึกนิยมมันอยู่ไม่น้อย รังมันกระจิ๋วหลิว นอนสองตัวเห็นจะขี่กันตาย มันคงสละที่ให้เมียรักซุกกายนอน ส่วนตัวเองหาที่ทางเกาะแค่พอข้ามคืน

แต่ความใจดีก็ใช่เรื่องดี

เจ้านกมันชักเหลิง วันหลังเอาอีก คราวนี้ฉันไม่ยอม เป็นไงเป็นกัน ยังไงก็ต้องหาไม้มาไล่มันออกไปให้ได้ แต่มันก็ไม่ยอมบินออกนอกระเบียงอยู่ดี ฉันคาดเดาเอาว่าคงเพราะข้างนอกมืดตึดตื๋อ สายตามันอาจจะมองในที่มืดไม่เห็น มันจึงได้แต่บินวนเวียนอยู่ในห้อง พอปิดไฟแล้วเปิดประตูห้องไล่มัน มันก็บินไปเกาะคานบนระเบียงทางเดิน

เห็นอย่างนั้นอดสงสารไม่ได้เหมือนกัน มันเอียงหัวมองซ้ายมองขวา เหมือนไม่รู้จะไปทางไหนดี ฉันต้องรีบปิดประตูห้องไม่อยากมอง ถึงอย่างนั้นก็ยังกังวลว่ามันจะหาทางออกไปสู่ท้องฟ้าเบื้องนอกได้มั้ย ถ้ามันไปด้านหนึ่งจะเป็นประตูสู่ระเบียงอาคาร หรือถ้าไปอีกด้านก็เป็นหน้าต่างระบายลม ไม่ว่ามันจะบินไปทางไหนก็ล้วนมีประตูอิสระภาพรอมันอยู่ หวังว่าแค่ชั่วคืนเท่านั้นที่มันจะหลงวนอยู่กับแสงไฟลวงตา

และก็จริง...

เช้าวันรุ่งขึ้นบนระเบียงมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวระงม เจ้านกตัวผู้ตัวเมียได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งแล้ว ฉันผงกหัวขึ้นจากเตียงนอน มองไม่เห็นมันหรอก แต่นั่นก็ทำให้ฉันยิ้มได้

หลังจากคืนนั้นฉันคิดว่ามันคงเข็ดหลาบไม่กล้าเข้ามายุ่มย่ามในห้องอีก แต่มันไม่เช่นนั้น วันหนึ่งฉันออกไปทำธุระ กลับเข้าห้องมาก็พบกับกองอุนจิของมันนอนเขียวอื๋ออยู่ในห้อง มันกลับมาแก้แค้นฉัน ให้ตาย! มันเป็นนกที่ไม่มีคุณธรรมประจำใจเอาซะเลย อาฆาตมาดร้าย ไม่รู้จักการให้อภัย มันไม่รู้รึไงว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

ขณะรดน้ำต้นไม้ในเย็นวันนั้นฉันเลยเอาคืนด้วยการสาดน้ำใส่รังมัน ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร!

รุ่งเช้าก่อนออกจากห้องฉันไม่ลืมปิดประตูระเบียงไว้ ไอ้นกเส็งเคร็งตัวนั้นไม่มีวันเข้ามาวางทุ่นระเบิดไว้ในห้องฉันได้อีก ตอนเย็นฉันกลับมาชะเง้อชะแง้ซอกแซกมองไประหว่างช่องกระถาง หวั่นอยู่เหมือนกันว่ามันจะอพยพหนีไปแล้ว เมื่อวานก็เห็นอยู่ว่าเศษใบไม้รองรังมันกระจัดกระจายไปหมด ถ้ามันทนอยู่ไม่ได้จริงๆ ฉันคงรู้สึกผิดบาปฝังใจไปอีกนาน แต่เธอจ๋า มันยังอยู่ และรังของมันก็งดงามเรี่ยมเร้จนน่าพิศวง ดอกไม้กวาดเหลืองสดหนานุ่มปูรองแทบมองไม่เห็นพื้นปูน รูปทรงของรังสวยงามไม่ต่างรังนกบนคาคบต้นไม้ ประหลาดใจแท้ว่ามันไปเอาดอกไม้กวาดมาจากไหน เหลียวมองไม้กวาดประจำห้อง โอ...เยินเชียะ

ไอ้นกอั-ปรีย์!

มันประกาศสงครามกับฉันอย่างเป็นทางการแล้วใช่มั้ยเธอ? ถ้าจับมันมาถอนขนทอดกรอบ ต้องชดใช้บาปสักกี่มากน้อยนะ แม่จะจับผัดกระเทียมพริกไทย คลุกข้าวกินให้สาใจเลยเชียว

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เธอจ๋า...ฉันรู้ ฉันจึงพยายามสงบศึก เลี่ยงไม่เผชิญหน้า คิดเสียว่ามันอยู่ส่วนมัน ฉันก็อยู่ส่วนฉัน แม้ฉันต้องรับผิดชอบจ่ายค่าห้องแต่ผู้เดียว แต่ให้มันอีกสองชีวิตร่วมอาศัยด้วยก็ไม่เป็นไร มันไข่ออกมาเมื่อไหร่ค่อยยึดมาทำอาหารแทนค่าห้องก็คงไม่ขาดทุนนัก

เมื่อจำใจยอมแบ่งปันพื้นที่ ฉันก็ต้องทำใจยอมรับผลที่ตามมา นั่นคือเสียงดังหนวกหูน่ารำคาญยามฉันต้องการสมาธิอย่างที่สุด หลายครั้งไอ้เสียงนรกจกเป-รตนั่นมันชวนโมโหจนพานอยากไล่ตะเพิดไปให้พ้นๆ แล้วยกรังมันโยนทิ้งไปนอกระเบียงให้รู้แล้วรู้รอด

แต่นั่นมันก็แค่ความคิดดำมืดในจิตใจส่วนหนึ่งที่ผุดโผล่ขึ้นมายามอารมณ์ฝ่ายต่ำครอบงำ ฉันหาได้กระทำจริงๆ หรอก พอทนไปอีกหน่อย เสียงที่เคยรำคาญก็พานให้ชิน ยิ่งเจ้าตัวเมียอยู่ติดรังทุกวัน เจ้าตัวผู้คอยเทียวเข้าเทียวออก ชะแง้มองใกล้ชิดมันเจ้าตัวเมียก็ไม่ยอมทิ้งรังไปไหน ก่อเกิดความสงสัยในจิตใจไม่น้อย

จนกระทั่งร่วมอาทิตย์ที่มันเฝ้ารังอยู่อย่างนั้น ผู้สามีจิกอาหารมาให้อย่างเคย และเหมือนว่ามันจะพูดคุยกันบางอย่าง อาจจู๋จี๋ตามประสาผัวเมีย หรือถกเรื่องปัญหาระดับชาติฉันก็ไม่อาจรู้ได้ เจ้าความสงสัยก็เริ่มติดหมัด วันนั้นกะว่าเอาให้ชัวร์ ฉันเข้าไปใกล้รังมัน ทำเสียงดังให้มันตกใจ เจ้าตัวผู้บินหนี ส่วนเจ้าตัวเมียเบี่ยงตัวซุกข้างกระถาง แล้วฉันก็เห็น...

ไข่นกสองฟองนอนเด่นอยู่กลางรัง

เธอจ๋า ฉันไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกตอนนั้นอย่างไรดี ฉันรู้แค่ว่าฉันตัวสั่นไปหมด เกาะราวตากผ้ามองรังมันนิ่ง ครู่ใหญ่ฉันค่อยๆ ถอยกลับเข้าห้อง ไม่กล้าแม้จะทำเสียงดังรบกวนมันอีก

หลังจากนั้นฉันก็ชอบแอบดูยามเจ้าตัวผู้บินกลับรัง คาบอาหารมาให้เมียมัน พูดคุยจู๋จี๋กันสักพัก แล้วเกาะนิ่งอยู่ริมระเบียงตรงนั้นนานนับชั่วโมง ขณะที่เจ้าตัวเมียก็นอนกกไข่นิ่งอยู่ในรัง ถ้าฉันออกไปทำธุระนอกระเบียงโดยแกล้งไม่สนใจ มันก็จะเกาะอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน หรือถ้าไปก็ไม่ไกลมากหรอก ยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นแหละ ฉันชักจะชอบมันแล้วสิ

เรื่องราวรอบตัว และความเป็นไปของเพื่อนร่วมโลกชนิดอื่นๆ ถ้าตั้งใจมอง เราจะพบมุมน่ารักๆ อย่างนี้เอง ไม่รู้เมื่อไหร่สมาชิกใหม่ของครอบครัวนกจะกะเทาะออกจากไข่ ถึงตอนนั้นระเบียงห้องของฉันคงเจี๊ยวจ๊าวกันพิลึกล่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก อีกสักพักฉันก็จะชิน

ถ้ามันฟักออกมาเมื่อไหร่ จะเขียนมาเล่าให้เธอฟังอีก


ระเบียงสกุณา
หญิงสาวจากดาวดวงเดิม
ปลายมกราฯ 2554

ถ้าพูดถึงร้านหนังสือแสนรัก สมองเกลี้ยงๆ ไม่มีรอยยักอะไรซับซ้อนของฉันก็คงจะนึกถึงร้านหนังสือลูกผสมที่สวนจตุจักร ฉันรู้จักร้านนี้เพราะเจ้านายพาไปเลือกซื้อหนังสือเข้าร้าน หลังจากนั้น ว่างเมื่อไหร่ และมีเงินพอจะเจียดหาซื้อหนังสือมาอ่านสักสองสามเล่ม ฉันจะโฉบไปที่นั่นทันที

หนังสือในร้านมีทั้งเก่ากึ๊กและใหม่เอี่ยม บางเล่มสันขอบดำปี๊ดปี๋ขี้ฝุ่นเขรอะแทบจะไม่กล้าจับ อีกบางเล่มอยู่ในห่อพลาสติกอย่างดี น่ายลโฉมจิ้มลิ้มภายใน ฉันแอบคิดในใจว่าคนขายช่างลำเอียงเลือกที่รักมักที่ชังดีแท้ แต่ก็อย่างว่า ร้านหนังสือลูกผสมนี่นา ย่อมปะปนด้วยหนังสือหลากหลายประเภท และรูปแบบ

หนังสือใหม่จะครอบครองแผงหน้าร้านไปทั้งแถบ เป็นสง่าราศีให้ร้านอยู่มากโข หนังสือในส่วนนี้ไม่พ้นพวกนิยายรักหลากรสชาติที่อ่านแล้วกะเทาะใจให้ไหวหวาม ฉันมักจะเดินผ่านพวกมันไปโดยไม่เหลือบแลแม้ชายหางตา ใช่ว่ากระแดะหัวสูงคิดหยามเหยียดนิยายประเภทนี้แต่อย่างใด แต่เพราะแต่ละเล่มสนนราคามหาศาลถ้าเทียบกับเงินในกระเป๋าซึ่งมีอยู่กระจ้อยริด แม้ใจจะดูดดึงให้เท้าแวะจอด แต่รู้ดีว่าให้ยังไงก็ไม่อาจหักใจกรีดเฉือนเลือดเนื้อตัวเองได้ลงคอ

ด้านในจะเป็นพื้นที่สำหรับหนังสือมือสองประดามี กองสุมเป็นตั้งสูงท่วมหัวหลายตั้ง วางเรียงติดกันเป็นแถวยาว เบียดบังกันสองแถวบ้างสามแถวบ้างแล้วแต่เจ้าของจะมีแก่ใจวางตั้งแต่มันเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ จะเลือกหนังสือแต่ละครั้งต้องกรีดนิ้วไล่สายตาหาไปเรื่อยๆ จากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน เวียนซ้ำไปสลับมา ผลุบแถวโน้นโผล่แถวนี้ ซอกแซกสายตาเข้าในหลืบเท่าช่องสันหนังสือหนาร้อยหน้า ด้วยคาดหวังว่าอาจจะเจอหนังสือทรงคุณค่าที่เหล่านักอ่านต่างสรรเสริญเยินยอ ซ่อนอยู่ในหลืบลี้ลับ ความรู้สึกไม่ต่างตามล่าหาอภิมหาสมบัติสมัยวัยเยาว์ ถ้าตาดีอาจได้หนังสือน่าอ่านคุณภาพดีคล้ายเพิ่งผ่านคนอ่านมาแค่มือเดียว แต่ราคาย่อมเยาเหมือนได้เปล่าติดมือกลับบ้าน ออกจากร้านหลังจะตรงแหน่ว คอตั้งเชิดบ่า ราวกับจะประกาศให้โลกรู้ว่าฉันนี่แหละคือผู้พิชิตขุมทรัพย์อันลือลั่นสนั่นโลก และรอยยิ้มจะปริ่มเต็มหน้า เจอต้นไม้ใบหญ้าก็ยิ้ม เจอนกหนูก็ยิ้ม เจอหมาขี้เรื้อนนอนหลับข้างกองขยะกลิ่นชวนคลื่นเหียนโชยคลุ้งก็ยิ้ม

ในร้านหนังสือมีคนดูแลสองคน ฉันไม่ค่อยสนิทกับคุณป้าเท่ากับคุณลุงอายุประมาณห้าสิบห้าไม่ก็หกสิบ เพราะคุณลุงจะนั่งประจำยังโต๊ะด้านในคอยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่มาเลือกหนังสือเก่าๆ ในร้าน ฉันจะเห็นแกนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ไปเรื่อยๆ ช่วงเที่ยงก็กินข้าวกินขนมอยู่ตรงนั้น มีแมวลายขาวดำคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ร้องเหมียวๆ ให้แกเงยหน้ามองเสียที ลุงจะขยับลุกก็ต่อเมื่อฉันเจอหนังสือเล่มที่น่าสนใจ แกเป็นคนช่วยยกตั้งสูงๆ และหยิบหนังสือออกให้ เพราะถ้าปล่อยให้ฉันปล้ำดึงออกมาเองมีหวังทั้งตั้งสูงนั้นคงได้ร่วงลงมาท่วมหัวเป็นแน่

ครั้งสุดท้ายที่ฉันไปร้านหนังสือแห่งนั้นเพื่อเป็นนักผจญภัยตามล่าสมบัติอันเลอค่า ความตั้งใจฉันเกินร้อย ความสุขและความหวังฉายชัดในดวงตา ออกจากห้องพักฉันยิ้มให้กับท้องฟ้าสดใส รู้สึกว่าอากาศในวันนั้นช่างดีเหลือเกิน ความวุ่นวายจอแจที่ฉันแสนเกลียด ฉันกลับรู้สึกว่ามันน่ารักน่าชังเมื่อมองผ่านกรอบสี่เหลี่ยมของช่องหน้าต่างรถเมล์ร่วมบริการชนิดธรรมดา ฉันลงรถหน้าสวนจตุจักรแล้วเดินต่อไปเข้าประตูที่เคยเปิดกว้างต้อนรับฉันทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าประตูสวนจตุจักรปิดทุกวันจันทร์ ไม่นานที่ยืนอึ้ง งง และเอ๋อ สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเลียบรั้วไปเรื่อยๆ เส้นทางใหม่กับบรรยากาศใหม่ๆ ชวนให้เพลิดเพลินไม่น้อย ครู่เดียวก็ถึงช่องทางเข้าเล็กๆ

ร้านหนังสือเปิดทุกวัน จำได้ว่าคนขายเคยบอกไว้อย่างนี้ เมื่อเข้ามาจึงพบว่าเป็นจริงตามนั้น ร้านหนังสือเปิดให้บริการลูกค้าเกือบทุกร้าน ฉันแวะร้านโน้นออกร้านนี้ เทียวไปร้านนั้นเช่นทุกครั้งที่ฉันมา แต่ไม่มีหนังสือเล่มไหนจะติดมือมาด้วย เพราะที่นี่แค่ทางผ่าน ขุมทรัพย์ของฉันต้องไปอีกนิด ฉันออกจากร้านหนังสือในรั้วจตุจักรหวังข้ามฟากไปยังอีกฝั่ง แต่แค่เหยียบบันไดสามสี่ขั้นนั้นมายืนบนฟุตบาธได้ฉันก็ต้องอึ้งตะลึงตะไล ยืนนิ่งขึงอยู่ตรงนั้นไม่อาจขยับเขยื้อนตัว ราวร่างกายกลายเป็นหินแข็งทื่อ

อีกฟากฝั่งถนน ครั้งหนึ่งเคยมีร้านรวงเรียงรายนับสิบร้าน มีตรอกเล็กๆ ให้เวียนผลุบโผล่ บัดนั้นเหลือแต่ที่เตียนโล่งล้อมรอบอาณาเขตด้วยแผ่นสังกะสี เสมือนว่ามันไม่เคยมีร้านใดๆ ตั้งอยู่ตรงนั้น และเสมือนว่าแหล่งซ่อนสมบัติของฉันมันจะเคยอยู่แค่ในความฝันของฉันเท่านั้นเอง

หลังสอบถามได้คำตอบฉันกลับมานั่งยังป้ายรถเมล์มองพื้นที่เตียนโล่งฝั่งตรงข้ามนั้นนับนาน ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งวนเวียนไล่กรีดนิ้วหนังสือตามแถวต่างๆ เห็นลุงเจ้าของร้านนั่งอ่านหนังสือ ได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษดังมาแว่วๆ เห็นแมวลายขาวดำเดินพันแข้งพันขาผู้หญิงคนนั้นพลางส่งเสียงร้องเหมียวๆ ให้ลุงเงยหน้าขึ้นมามองแล้วก้มลงอ่านหนังสือในมือต่อ

อีกครั้งที่ฉันได้ตระหนักว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรจีรัง ทุกอย่างดำรงอยู่ชั่วครู่ยามให้ผูกพันแล้วดับสูญ วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันล้มเหลวกับภารกิจตามล่าหาสมบัติ และฉันไม่กะจิตกะใจยิ้มให้กับโลกรอบตัว


*กิจกรรม 'ร้านหนังสือแสนรัก'
นิทานก่อนนอน : เจ้าหญิงน้อยกับน้องกระต่ายแสนรัก

กาลครั้งหนึ่งนานมานักหนาแล้ว มีเมืองวิจิตรตระการเมืองหนึ่ง มีพระราชา พระราชินีเป็นผู้ครองนคร ทั้งสองมีพระราชธิดาเป็นเจ้าหญิงองค์น้อย

วันหนึ่งภายในพระราชวังมีงานสมโภชรื่นเริง พระราชาและพระราชินีจูงแขนธิดาน้อยไปเที่ยวชมงาน พระธิดาทรงทอดพระเนตรเห็นกระต่ายขาวตัวหนึ่ง พลันทรงนึกอยากเลี้ยง จึงทรงอ้อนวอนขอต่อพระบิดา แต่พระราชาทรงเห็นว่าพระธิดายังเยาว์วัยนัก ความรับผิดชอบรึก็ยังน้อยนิด จะให้เลี้ยงสัตว์เห็นจะไม่เป็นการควร แต่เจ้าหญิงน้อยแม้ยังเยาว์ชันษาก็มีพระปรีชาฉลาดล้ำ เมื่อทรงรู้ว่าพระบิดาไม่อนุญาตแน่แล้ว เธอก็ทิ้งตัวลงนอนชักแหง็กๆ ๆ ๆ อยู่บนพื้นต่อหน้าธารกำนัลตรงนั้นไม่ยอมลุก เหล่าประชาชนพากันเมียงมองให้ความสนใจ จนพระราชาไม่อาจนิ่งอยู่เฉย จำใจต้องอนุญาต โดยขอสัญญาต่อเจ้าหญิงน้อยว่า เจ้าหญิงน้อยต้องให้อาหารเจ้ากระต่ายทุกวัน เจ้าหญิงฉีกยิ้มบานแฉ่งพยักหน้าหงึกๆ และวันนั้นเจ้าหญิงน้อยก็ได้จูงน้องกระต่ายกลับพระตำหนัก (ลีลาชักแหง็กๆ ๆ ๆ ของเจ้าหญิงน้อยในวันนั้น มีคนหัวใสนำไปดัดแปลงเป็นท่าเต้นแรพที่โด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้)

เจ้าหญิงน้อยรักและทะนุถนอมน้องกระต่ายมาก ทรงดูแลอย่างดี ให้อาหารทุกวันไม่เคยขาด (อ้อ...ดูเหมือนจะลืมบอกไปหน่อย เจ้ากระต่ายตัวนี้พิเศษกว่ากระต่ายทั่วไป ตรงที่มันกินแต่เหรียญเงินและเหรียญทองเป็นอาหารเท่านั้น) ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเจ้ากระต่ายน้อยยิ่งอ้วนท้วนสมบูรณ์ จนเจ้าหญิงไม่อาจยกอุ้มได้อีกต่อไป

วันหนึ่งเจ้าหญิงต้องเสด็จประพาสต่างพระนคร เพราะไม่อาจยกน้องกระต่ายขึ้นอุ้มพาไปไหนด้วยได้ จึงทรงฝากฝังให้พระบิดาและพระมารดาช่วยดูแลน้องกระต่ายน้อย ทั้งสองพระองค์รับปากเป็นมั่นเหมาะ เจ้าหญิงน้อยจึงวางพระทัย เที่ยวเล่นอย่างสราญบานเบิก

แต่แล้วเมื่อกลับมาถึงพระราชวัง เจ้าหญิงน้อยต้องหัวใจแหลกสลาย เพราะน้องกระต่ายน้อยแสนรักโดนฆาตกรรมอย่างอำมหิตโหด**ม เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ(นำทีมโดยแพทย์หญิงคุณหญิงพรพิษ)ระบุว่าเจ้าโจรใจโฉดใช้ไม้หน้าสามทุบน้องกระต่ายจนหัวแบะ และใช้ดาบซามูไรคว้านท้องขโมยเหรียญเงินเหรียญทองในท้องของน้องกระต่ายไปจนหมดสิ้น

ยิ่งได้ฟังเจ้าหญิงน้อยยิ่งโศกาอาดูรจนไม่เป็นอันกินอันนอน แต่แล้ววันหนึ่งเจ้าหญิงน้อยทรงคิดได้ว่าไม่ควรปล่อยให้เจ้าฆาตกรลอยนวลอยู่ได้ ทรงสลัดความทุกข์ตรม ออกว่าการในท้องพระโรง สอบสวนทุกคนในพระราชวังด้วยพระองค์เอง แต่ไม่ว่าจะสอบสวนใครต่อใครก็ไม่อาจจับมือใครดมได้ จึงส่งราชองครักษ์ฝีมือเยี่ยมออกสืบหาตัวคนร้ายไปทั่วทุกหัวระแหง แต่สุดท้ายเหล่าราชองครักษ์มากฝีมือเหล่านั้นก็คว้าน้ำเหลวกลับมา(ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเจ้าองครักษ์ต้องคว้าน้ำเหลว บางทีเจ้าพวกนั้นอาจคว้าน้ำแข็งมาก็ได้ แต่กว่าจะเดินทางกลับถึงพระราชวัง น้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำเหลวไปหมดแล้ว – เจ้าหญิงน้อยทรงพระเดา)

ผ่านไปวันแล้ววันเล่าความเศร้าใจเริ่มคลายลงบ้าง แต่ความคิดถึงทำให้เจ้าหญิงน้อยยังคงรำพึงรำพันถึงน้องกระต่ายอยู่ไม่เว้นวาย แต่ทรงไม่เข้าใจเลยว่ายามใดที่พระองค์รำพึงรำพันถึงน้องกระต่ายต่อหน้าพระบิดาและพระมารดาคราใด ไยทั้งสองพระองค์ถึงได้มีท่าทีอึกๆ อักๆ ไม่กล้าสบตาเจ้าหญิงน้อย บางทีตามใบหน้าตามตัวพระบิดาและพระมารดาก็มีเหงื่อแตกด้วย เจ้าหญิงน้อยไม่เข้าใจเลย

จนถึงเดี๋ยวนี้เจ้าหญิงน้อยก็ยังไม่อาจหาตัวฆาตกรที่ฆาตกรรมน้องกระต่ายแสนรักได้ และเจ้าหญิงน้อยก็ยังคิดถึงน้องกระต่ายน้อยอยู่เสมอ





นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...




ยอดปิยมิตรผู้ไม่เคยห่างหายไปจากดวงใจ

จดหมายฉบับแรกในรอบหลายเดือนนี้คงทำให้เธอประหลาดใจไม่น้อย ฉันส่งจดหมายมาด้วยความระลึกถึงอยู่ไม่รู้คลาย ที่ห่างหายไปใช่ว่าฉันจะลืมเธอแล้ว มีเหตุผลร้อยพันล้านแปดอยู่ในนั้น แต่จะมีประโยชน์อันใดที่จะนำมาอธิบายให้เธอฟัง ในเมื่อฉันรู้ดีอยู่แก่ใจว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง

เธอที่รัก ฉันใช้ชีวิตเพียงลำพังมาร่วมสองเดือน ชีวิตเดียวดายบนดวงดาวนี้ไม่ยากลำบากและอ้างว้างเกินไปนัก ฉันยังดำรงตนอยู่ในรูปแบบอันเป็นมา ให้เวลากับสิ่งที่รักเหนือสิ่งใด ตัวอักษรของฉันโลดแล่นเริงร่าอยู่ในทุ่งฝันอันสะพรั่งพราว ยังมีสิ่งใดทำให้ดวงใจอิ่มเอิบปลาบปลื้มได้มากกว่านี้อีกหรือ สำหรับนักฝันผู้มั่นฝากฝังตนไว้กับการจดจารอักษร

ที่รักแห่งฉัน ขอเธอจงรู้ แม้ฉันไม่มีถ้อยอักษรถึงเธอในรูปจดหมาย แต่ทุกตัวอักษรที่กลั่นร้อยเรียงจากหนึ่งดวงใจ...ฉันเขียนเพื่อเธอ

ดวงดาวของฉันเข้าฤดูเหน็บหนาว หลายเดือนมานี้อากาศหนาวเย็นแวะเวียนมากี่รอบฉันก็ขี้เกียจจะนับ มาเพียงแวบๆ แล้วจากไป สองสามวันก็แวะมาอีก ฉันชอบจังอากาศหนาว มันทำให้โลกใบน้อยของฉันหมุนช้าลง มันทำให้ดวงตาที่ฉันมองโลกอ่อนโยนขึ้น ในความหนาวเปี่ยมด้วยความอบอุ่น ไม่รู้มันมาจากไหน แต่ฉันรู้ มันมีอยู่

ต้นไม้ริมระเบียงสดใสทุกต้น คงไม่เกี่ยวกับอากาศหนาว อยู่ที่ความใส่ใจของคนดูแลมากกว่า ฉันรดน้ำต้นไม้ทุกวัน รู้สึกดีที่มีพวกมัน มีความสุขที่ได้เห็นมัน ทุกครั้งเมื่อมองพวกมันฉันมองด้วยดวงตาแห่งรัก ฉันคิดว่าพวกมันคงรับรู้ได้ ถึงได้ดูสดใสเบิกบานกันเช่นนั้น

ไม้แขวนสองต้นที่ตอนแรกจะตายมิตายแหล่ ได้รับการประคบประหงมจนผ่านพ้นวิกฤตมาแล้ว เริ่มผลิใบใหม่เขียวสดมาล้อลมหนาว ซากระย้าย้อยของมันยังคาต้น มองดูคราใดก็อดคิดไม่ได้ว่า ในช่วงเวลาเหล่านั้นมันผ่านมาได้อย่างไร มันจะมีความรู้สึกนึกคิดเจ็บปวด ทดท้อ ปล่อยให้ชีวิตตนไหลไปตามยถากรรมบ้างไหม หรือที่มันมีชีวิตจนผลิใบใหม่มาได้นั้น เพราะมันได้ต่อสู้ยื้อยุดชีวิตมาเต็มกำลังของมันแล้ว

จะอย่างไรมันก็ยังมีชีวิต เป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่เหี่ยวแห้ง ยามขาดน้ำ ขาดอาหาร และเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่ผลิใบเมื่อมีเรี่ยวแรงให้ผลิ

ฉันหวังจะเป็นเช่นนั้น เป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่เซาซบเมื่อโอกาสและปัจจัยไม่เอื้ออำนวย แต่ยังเข้มแข็ง รอวันเวลาแตกใบใหม่มาแต้มโลก

ฉันหวังจะเป็นเช่นนั้น


คิดถึงอยู่มิรู้คลาย
หญิงสาวบนดาวสีน้ำเงิน
กลางธันวาฯ 2553