‘เพชร’ แม้จะตกอยู่ในเปือกตมหรือที่ใดๆ
เพชรนั้นก็คงเป็นเพชรอยู่วันยังค่ำ ไม่มีวันจะกลายเป็นอื่นใด ท่ามกลางบรรยากาศอันสงัดเงียบและอบอวลไปด้วยกลิ่นธูปหอมควันเทียน เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ผอมบาง
แต่นัยน์ตากล้าแกร่ง เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น กำลังตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าพระประธานองค์ใหญ่ ซึ่งดูเหมือนจะแผ่รัศมีอันอบอุ่นร่มเย็นให้แก่ส่ำสัตว์ที่กำลังอยู่ในห้วง ทุกข์ ก่อนที่คนเราจะมีความปรารถนาในสิ่งใด ย่อมหมายความว่าจิตใจกระทบกระเทือนต่อความบีบคั้นเหล่านั้นจนเหลือที่จะทน ได้ สิ่งที่ “ปัทมา”
ปรารถนามิใช่เงินทอง
มิใช่ความหรูหราสะดวกสบาย มีชีวิตดั่งคุณหนูหรือเจ้าหญิงในเทพนิยาย จะมีใครบ้างที่จะรู้ถึงความปรารถนาแท้จริงที่อยู่ลึกๆ ภายในดวงใจอันบอบบางดวงน้อยๆ ของเธอ...*
ปัทมา วรารักษ์
ลูกเลี้ยงของนายไปรษณีย์และแม่ค้าขนม เด็กสาวผู้ถูกสังคมแวดล้อมประณามว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ
ลูกเจ๊ก ไม่มีหัวนอนปลายเท้า มารดาของเธอหอบท้องมาพึ่งพาเพื่อนรัก
หลังคลอดลูกได้เพียง 3 วันหล่อนก็สิ้นลม
ทิ้งลูกน้อยเอาไว้ให้อยู่ในความรับผิดชอบของนางถนอมผู้เป็นเพื่อน
นายไปรษณีย์สามีของนางติดต่อไปยังบิดาของทารก จนนำไปสู่การจ้างเลี้ยงเด็ก
ทุกเดือนบิดาของปัทมาจะส่งเงินมาให้นางถนอมเป็นค่าใช้จ่าย
กระทั่งสิบปีต่อมาเงินส่วนนั้นขาดหายไปโดยไม่ทราบเหตุ นายไปรษณีย์เข้ากรุงเทพฯ
เพื่อสืบข่าวคราว ได้รับรู้ว่า คุณหลวงประภาส บิดาของปัทมาได้เสียชีวิตลงแล้ว
นางประภาพี่สาวเพียงคนเดียวของคุณหลวงไม่ยอมรับรู้ถึงการมีอยู่ของปัทมาผู้เป็นหลาน
นายไปรษณีย์และนางถนอมผู้เป็นภรรยา
จึงต้องเลี้ยงดูปัทมาด้วยเงินทุนของตัวเองนับแต่นั้น
มอบความรักและปรารถนาดีประดุจลูกในไส้ ทั้งอบรมสั่งสอนและให้การศึกษา
โดยไม่สนใจคำว่ากล่าวของใครต่อใคร ที่ทั้งชื่นชม และนินทาว่าร้าย ต่อการอุ้มชูเด็กคนหนึ่งที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนอย่างดิบดี
แล้ววันเวลาก็ได้พิสูจน์ให้ประจักษ์ว่า
คุณความดีในตัวคนบ่มเพาะกันได้ และจะงอกงามออกดอกผลให้ฉ่ำชื่นใจเสมอ...
* คัดลอกจากส่วนหนึ่งของหนังสือ
ตรวจภายใน
โดย นิ้วกลม
เพิ่งอ่านงานของ
‘นิ้วกลม’
เล่มแรก
ทั้งที่เคยได้ยินนามปากกานี้มาช้านาน ในแง่ของบทความสร้างสรรค์ เชิงขบคิด
และตั้งคำถาม ‘ตรวจภายใน’
เป็นเนื้อหาที่ผู้เขียนมองผู้คน
และสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ ยุคที่อินเตอร์เน็ตมีบทบาทอย่างเต็มที่
แพร่หลาย กว้างขวาง และทำให้ใครหลายคนหมกมุ่นอยู่ในสังคมออนไลน์
หนังสือได้สะกิดให้เราปลีกตัวออกมาแล้วลองย้อนกลับไปมองสังคมที่เราอยู่
ขบคิด ใคร่ครวญ ไปกับเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และเกิดขึ้นในสังคม
บางสิ่งเห็นด้วยกับผู้เขียน ยอมรับว่าหลายสิ่งคาดคิดไม่ถึง ทั้งที่ลึกๆ
เราก็เป็นแบบนั้น เพียงแต่ก่อนหน้านี้เราไม่มีเวลา หรืออาจละเลยที่จะย้อนกลับมาดู ทว่า
บางสิ่งก็เห็นแย้ง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเกินไปกว่า เราได้เห็นมุมคิดที่แตกต่างออกไป
แล้วพยักหน้าหงึกหงัก อ้อ...บางเรื่องผู้ชายเขาคิดแบบนี้เหรอ อืม...อืม...นะ!
เจียดเวลาสักนิด มาตรวจภายในตัวเรา
ตรวจภายในสังคมที่เราอยู่บ้างก็ดี
สหายวรรณศิลป์ที่รัก
...เริ่มจรดปลายนิ้วเรียงร้อยถ้อยความเพื่อส่งหาเธออีกครั้ง ช่างเงอะงะ ติดขัดกับตัวอักษรแรก เนื่องเพราะหยุดไปนานเหลือเกิน แต่อย่างไรก็แล้วแต่ มั่นใจว่าเธอไม่เคยลืมฉัน เราไม่เคยลืมกัน ใช่หรือไม่? หวังว่าฉันคงเข้าใจไม่ผิด
แม้กาลล่วงผ่าน แต่ฉันก็ยังเป็นฉัน เป็นหญิงสาวผู้คร่ำเคร่งปั้นแต่งตัวอักษรให้เป็นคำ เป็นประโยค จนกระทั่งเป็นเรื่องราว กอบเก็บความฝันมาเรียงร้อย ฉันสร้างวิมานในอากาศ แล้วนำวิมานเหล่านั้นมาตีแผ่ อาจไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ อาจเป็นที่เดียดฉันท์ของใครต่อใคร แต่เชื่อเถอะ ว่าฉันหาได้สนใจ ในเมื่อฉันทำด้วยความสุข สดชื่นรื่นใจ และมิได้ทำให้ใครเดือดร้อน ฉันต้องแคร์สิ่งใดอีก
กาลเวลาที่ผ่านพ้น อาจยาวนาน หรือแสนสั้น แต่ทุกวันผ่านเข้ามาเพื่อให้เรียนรู้ ทั้งเรียนรู้ในตนเองและผู้คนรายรอบ บางเรื่องทำให้ขบคิดใคร่ครวญอย่างหมกมุ่น หากบางเรื่องและบางเวลาฉันก็ปล่อยให้ชีวิตไหลเลื่อนไปอย่างเปล่าดาย
แต่ก็นะ ฉันตระหนักรู้ว่า ทุกสิ่งที่เข้ามาและผ่านออกไป ไม่เคยมีสิ่งใดไร้ความหมาย บางเรื่องทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปจากรูปรอยเดิมอย่างน่าใจหาย ทว่าบางเรื่อง เมื่อผ่านมาแล้วอาจไม่มีสิ่งใดแตกต่างจากที่มันเคยเป็นอยู่ เราไม่มีวันรู้หรอกว่าองศาชีวิตได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพียงแต่น้อยนิดจนเราไม่ทันรู้สึกตัวเท่านั้นเอง
คุยมาหลายวรรคหลายคำ แต่คิดว่าเธอคงยังประหลาดใจอยู่ไม่วาย ว่าไยจู่ๆ ฉันถึงมีจดหมายถึงเธอครานี้ บอกไปแล้วตั้งแต่ต้นว่าฉันไม่เคยลืมเธอ ก็คิดถึง จึงมีตัวอักษรมาหา อีกอย่าง วันนี้นับว่าเป็นวันดีอีกหนึ่งวัน ฉันเพิ่งบรรจงพรมนิ้วบนแป้นคีย์เป็นคำว่า ‘THE END’ ลงในนิยายเรื่องล่าสุด มันคือความมหัศจรรย์ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็คงความมหัศจรรย์ไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
แต่ฉันเริ่มควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้บ้างแล้ว ยินดีนั้นมีอยู่เต็มปริ่ม แต่ฉันก็มิได้ปล่อยให้ความเริงร่าเอิบอาบไปทั่วทุกขุมขน ปล่อยความปรีติระยิบระยิบอยู่ในธารเลือดจนไม่เป็นอันทำการทำงานเหมือนแต่ก่อน ฉันยินดี แต่ฉันรู้จักรำงับความยินดีไว้ในที่ทางที่มันควรอยู่ เหลือสมองและสมาธิไว้คิดทำอย่างอื่นบ้าง อย่างเช่น เขียนจดหมายถึงเธอ...
อื้ม...ถ้ามองอีกแง่ ก็อาจคิดว่า ฉันยินดีจนเก็บเอาไว้คนเดียวไม่อยู่ ถึงขนาดกระสันจะบอกใครสักคน...คงจริง...คิดอย่างนั้นก็ไม่ผิด เถอะ จะคิดอย่างไรก็ช่าง มิได้สลักสำคัญสักหน่อย อย่างน้อยวันนี้ฉันก็ได้งานหลายอย่างแล้วล่ะ ความสำเร็จอย่างหนึ่งทำให้ฮึกเหิมมีกำลังทำงานอย่างอื่น
ปีใหม่แล้ว ขอสวัสดีปีใหม่กัน ณ ตรงนี้ ปีนี้จะพยายามเขียนจดหมายถึงเธอบ่อยๆ มิใช่คำสัญญา เป็นเพียงความตั้งใจ ที่อาจจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ได้ แต่ก็อีกเหมือนกัน มันไม่สำคัญหรอก ไม่มีอะไรสำคัญเลย
ยังคงคิดถึงไม่สร่างสิ้น
หญิงสาวบนดาวดวงเดิม
มกราคม 2556
ณ ที่นั้นมีดาวเหนือ
โดย วาณิช จรุงกิจอนันต์
แม้นดาวเหนือยังส่องทางเป็นกำลังใจ อีกไม่นานคนไกลคงได้กลับไปจูบดินผืนเดิม
วาณิช จรุงกิจอนันต์ เป็นนามปากกาที่เพื่อนคนหนึ่งเคยแนะนำให้อ่าน ไม่แน่ใจว่าเรื่องที่แนะนำนั้นคือเรื่องนี้ หรือเรื่อง ‘ซอยเดียวกัน’ กันแน่ แต่ก็บอกได้ว่าเป็นนามปากกาที่ถูกแนะนำมา อีกทั้งเมื่อคุยกับเพื่อนนักอ่านแดนไกลท่านหนึ่ง บอกเล่าถึงรายชื่อหนังสือที่รออ่าน เธอหยิบยกนามปากกานี้มาพูดในทำนองว่า “คุณวานิช เป็นนักเขียนชายที่เขียนเรื่องรักได้ละเมียดละไมท่านหนึ่ง” อื้ม เป็นคำชื่นชมที่ทำให้ใจสั่น ด้วยว่าเราเองก็ถูกจริตกับเรื่องรักละเมียดละไมใช่หยอก
ณ ที่นั้นมีดาวเหนือ จึงได้เปิดหน้าแรก ใช้เวลาอ่านอยู่นาน เพราะอ่านๆ วางๆ ใช่ว่าไม่สนุก กลับกัน เรื่องชวนติดตาม อยากรู้บทสรุปของ อาสา ครูเพลง และ เรืองดาว หญิงสาวผู้ใฝ่ฝันจะเป็นนักร้องดังเพื่อชื่อเสียงเงินทอง ยกฐานะครอบครัวให้อยู่ดีมีสุข
สำนวนภาษากรุ่นๆ ในอารมณ์ให้ต้องละเลียดซึมซับ ค่อยอ่านไปทีละหน้า ทบหน้า ไม่เร่งร้อน
ทว่า บางคาบบางคราก็อยากปิดฉับ วางทิ้งไว้ตรงนั้น แล้วทำเป็นลืมๆ ไปว่าได้หยิบเรื่องนี้มาอ่าน หากเมื่อพยายามคิด บอกตัวเอง ตัวละครในเรื่องก็ปุถุชนธรรมดา คิดผิดทำพลาด มีความทะเยอทะยานในหัวใจ มีข้ออ้างไว้ปลอบประโลมใจเพื่อให้รู้สึกว่าที่ทำ ดีแล้ว ถูกแล้ว เรื่องเหล่านี้เลี่ยงไม่พ้นกับความเป็นมนุษย์ที่ยังต้องดิ้นรน คิดได้อย่างนี้ก็มีใจอ่านไปได้ด้วยอารมณ์ไม่ต่างจากเดิม
และจบแบบ...อิ่มอุ่น แม้จะยังรู้สึกว่าไม่สุด.
โจนาทาน ลิฟวิงสตัน นางนวล
ริชาร์ด บาก เขียน นิรุบล สิริมงคล แปล
เปิดศักราชใหม่ด้วยหนังสือขนาดสั้นเล่มเล็ก ใช้เวลาอ่านประมาณ 2-3 ชั่วโมง...เรื่องราวของโจนาทานนางนวลหนุ่ม ผู้กบฏต่อวิถีปฏิบัติของฝูงนางนวล ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการฝึกบิน จนค้นพบอิสรภาพอันยิ่งใหญ่
หนังสือเล่มน้อย แต่แซมแทรกด้วยปรัชญาที่ต้อง ‘ย่อย’ และ ‘ขบคิด’ ไว้มากมาย ระหว่างแอบดูโจนาทานฝึกบิน ละม้ายได้ติดไปกับปลายปีกขน เริงร่อน ถลา ท้าลม อิสระอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ครั้นจะไขว่คว้า ยากยิ่ง
นั่นคงเพราะ เรายังฝึกฝน ทุ่มเท และเรียนรู้ได้ไม่ถึงเสี้ยวของโจนาทาน...
*เช้าวันนั้น ตะวันแห่งวันใหม่เปล่งประกายสีทองระยิบทอดข้ามริ้วคลื่นของทะเลยามสงบ
เรือหาปลาลำหนึ่งลอยลำอยู่ห่างจากฝั่งไปหนึ่งไมล์ ส่งสัญญาณให้อาหารผ่านอากาศไปยังฝูงนกที่ออกหากินในตอนเช้า จนกระทั่งนางนวลนับพันบินโฉบเข้าไปต่อสู้แย่งชิงเศษอาหารกัน อีกวันอันวุ่นวายก็เริ่มขึ้น
แต่ไกลออกจากตัวเรือและฝั่งทะเล นางนวลโจนาทาน ลิฟวิงสตัน ฝึกบินอยู่เดียวดาย ในระดับความสูงที่หนึ่งร้อยฟุตบนท้องฟ้า เขาลดเท้าที่มีแผ่นพังผืดเชื่อมระหว่างนิ้ว เชิดจะงอยปากขึ้น และฝืนรั้งวงโค้งตลอดแนวปีกเอาไว้ด้วยความยากเย็นและเจ็บปวด วงโค้งนี้หมายถึงโจนาทานจะบินได้ช้าลง และตอนนี้เขาก็บินช้าลง สายลมที่พัดผ่านหน้าเป็นเสียงกระซิบ กระทั่งมหาสมุทรเบื้องล่างหยุดนิ่งอยู่กับที่ เขาหรี่ตารวบรวมสมาธิ กลั้นหายใจ แล้วบิดปีกให้...โค้งขึ้น...อีก...หนึ่ง...นิ้ว แล้วขนก็สั่นกระเพื่อมไปทั้งร่าง เขาหยุดกึก แล้วก็ร่วง...
ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกการฝึกบินของโจนาทาน ลิฟวิงสตัน นางนวล
แด่...นางนวลโจนาทานที่แท้จริง ซึ่งอยู่ในตัวเราทุกคน
(* คัดลอกจากบทเริ่มต้นของหนังสือ)