สวัสดีเธอผู้เป็นเพื่อนใหม่

นี่เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ฉันเขียนมาหาเธอ หวังว่าเธอจะสุขสบายดีและมีความสุขกับจดหมายฉบับก่อนหน้านี้ ฉันรู้แล้วล่ะว่าเธอได้รับจดหมายฉบับนั้นเรียบร้อยแล้ว เธอคงสงสัยล่ะซิ ฉันรู้ได้ยังไง? ฉันก็บอกไม่ถูกหรอก แต่ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้นนี่นา เธอไม่รู้หรอกว่าฉันดีใจมากแค่ไหนเมื่อคิดว่าเธอกำลังนั่งอ่านจดหมายฉันอยู่

ไม่สำคัญว่าเราจะอยู่ไกลกันแค่ไหน ฉันรู้ ความคิดถึงของฉันเดินทางไปถึงเธอเสมอ เช่นเดียวกันความคิดถึงของเธอก็เดินทางมาถึงฉันเรียบร้อยแล้ว ฉันเห็นนะ เธอกำลังนั่งยิ้มอยู่ ใช่มั้ยล่า? นั่นไง เธอยิ้มกว้างมากขึ้น เห็นฟันหมดทุกซี่เลย!

มิตรภาพเล็กๆ ก่อเกิดขึ้นจากตัวอักษรไม่กี่ตัว ฉันไม่รู้ว่าเธอให้ความสำคัญกับมันแค่ไหน แต่รู้ไว้เถิดสำหรับฉันมันมีค่ามากมายเกินประมาณเชียวล่ะ

ใครๆ มักบอกว่าการพบกันคือจุดเริ่มต้นของการพรากจาก ฉันไม่เถียงสักคำเดียว! ...ก็มันจริงนี่นา... แต่ก่อนพรากจากนั่นสิเราได้สร้างอะไรให้ความทรงจำในอนาคตของเราหรือเปล่า? ฉันว่าจุดนี้สำคัญกว่าเป็นไหนๆ จดหมายฉบับที่แล้วฉันพูดถึงความทรงจำเธอจำได้ไหม? ‘ความซาบซ่านอันแสนอาดูร’ ไง ถึงมันจะบีบคั้นความรู้สึกให้ถวิลหาอาวรณ์ก็เถิด ฉันก็ยังยินดีจะมีมัน ก็มันคือความทรงจำดีๆ นี่นา

เชื่อได้เลย มิตรภาพของเราในวันนี้จะเป็นความทรงจำดีๆ ของฉันในวันข้างหน้า เมื่อการจากลาเดินทางมาถึง

ตลกจัง เราเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่ฉันดันพูดถึงการจากลาซะแล้ว เธอจะว่าฉันบ๊องมั้ยนะ?

อยากรู้จังเลย ดาวที่เธออยู่จะเป็นยังไงบ้าง จะเหมือนดาวสีน้ำเงินที่ฉันอยู่หรือเปล่า? เธอรู้จักดาวสีน้ำเงินมั้ย? ที่นี่มีทะเลสีคราม มีท้องฟ้าสวยใสไกลสุดสายตาจะมองเห็น มีแม่น้ำเย็นฉ่ำชื่นใจ มีภูเขาที่มีต้นไม้ปกคลุมเต็มพืดไปหมดจนฉันชักสงสัยว่าหากหลงเข้าไปในภูเขานั้นตลอดทั้งชีวิตที่เหลือฉันจะหาทางออกเจอหรือเปล่า? มีนกสารพันชนิดบินว่อนเต็มท้องฟ้า มีดอกไม้สารพันอย่างสีสันแปลกตาแถมกลิ่นก็หอมหวนชวนดม มีแมลงอีกมากมายก่ายกอง

บนดาวสีน้ำเงินมีความสดใสไร้เดียงสาเป็นบทเริ่มต้นของชีวิต ตอนเด็กๆ ฉันเคยวิ่งไล่จับผีเสื้อด้วยล่ะ แต่ตอนนี้ฉันโตเกินกว่าที่จะทำแบบนั้นอีกแล้ว มีหลายอย่างที่ฉันเคยทำตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถทำมันได้อีก เมื่อเราโตขึ้นอะไรๆ ก็เปลี่ยนไป

เธอรู้มั้ย? บางทีฉันรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตช่างไร้สาระสิ้นดี มันเหมือนฉันกำลังจมปลักอยู่ในความไร้สาระนั้นจนหาทางออกไม่เจอ ฉันพยายามคิดใคร่ครวญไตร่ตรองทุกเรื่องราว แต่ทุกครั้งก็ไม่ต่างกัน ฉันไม่เคยได้อะไรจากความพยายามนั้นเลย ...บางที ฉันอาจต้องการเวลามากกว่านี้สำหรับการครุ่นคิด หรืออาจเป็นเวลาสำหรับเรียนรู้โลกให้มากขึ้น ไม่แน่นะ ในอนาคตเมื่อฉันมองย้อนกลับมา ฉันอาจรู้สึกว่าความสงสัยนี้ต่างหากคือสิ่งไร้สาระแทนที่จะเป็นเรื่องราวต่างๆ บางทีสิ่งที่ถูกต้องคือ ฉันไม่ควรสงสัยอะไรเลย ฉันเพียงแค่ดำเนินชีวิตไปตามวิถีทางที่ควรจะเป็น แต่ก็อีกนั่นแหละ ฉันไม่รู้เลย ทางไหนคือวิถีที่ควรจะเป็น?

หวังเพียงว่าเมื่อถึงเวลาเหมาะสมฉันคงรู้คำตอบทั้งหมด


รักและคิดถึง
เด็กสาวบนดาวสีน้ำเงิน
หน้าร้อน ปลายเมษาฯ ๒๕๕๒

5 Responses
  1. DiN Says:

    เมื่อเช้าผู้น้อยนำอักขระเปรอะ ๆ แปะไว้ที่ 'ต่อช่อ' ก็แล้วท่านจะรู้ได้เยี่ยงไรว่ามีแมวโดดมาตะกุยสมุดบันทึกทั่น.

    http://sailomruk.blogspot.com/feeds/comments/default

    เอา add. นี้ใส่ใน RSS.widget นะทั่น

    คารวะ


  2. เห็นแย้ววว

    เห็นตั้งแต่เปิดสมุดเมื่อเช้าแน่ะ เจ้าแมวจอมซนแอบมาตะกุยสมุดบันทึกน่ะไม่เป็นไร อย่าทำถ้วยกาแฟหกเป็นพอ!

    : )

    ด้วยความเคารพ


  3. ต๊กกะใจ !

    ปลูกบ้านแล้วหรือท่าน ยินดีนัก ยินดีนัก


    มะคั่นฯ


  4. DiN Says:

    จดหมายจากดาวสีดิน : ดาวของฉัน

    สวัสดีหญิงสาวจากดาวสีน้ำเงิน

    ดาวที่ฉันอยู่เป็นอย่างไร ฉันตอบเธอง่าย ๆ ว่าเป็นดาวที่เต็มด้วยถนนหนทาง บนถนนปูด้วยตัวอักษรละลานตา ทอดยาวจนสุดขอบฟ้า มีผู้คนเดินทางสัญจร มีเพิงพักข้างทางเป็นระยะ เพิงพักเล็ก ๆ แต่หากเดินเข้าภายใน จะพบทุกอย่างที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ บาร์เหล้า กระทั่งสปาสำหรับผ่อนคลายความอ่อนล้าจากการเดินทาง

    บางเพิงพักเต็มด้วยผู้คน บางเพิงก็เปล่าร้าง เพิงที่คนนิยมใช้บริการคือเพิงความรัก มีกุหลาบแดงเสียบไว้ที่ประตูรูปหัวใจเป็นสัญลักษณ์ หลายคนเดินทางด้วยความมุ่งมั่น แต่ครั้นก้าวเข้าในเพิงความรัก มักเงียบหายไป พวกที่กลับออกมาล้วนมีหน้าตาอิดโรย อมทุกข์ อย่าได้ถามฉันเลยว่าภายในนั้นเกิดอะไรขึ้น หรือฉันเคยเข้าไปหรือไม่?

    ยังมีเพิงหน้าที่และความรับผิดชอบซึ้งล้วนเป็นคล้ายด่านทดสอบผู้เดินทาง

    มีบ้างบางคนไม่สามารถออกจากเพิงพักจำยุติการเดินทางโดยปริยาย

    แต่นั่นก็หาใช่ชัยชนะหรือความพ่าย ในโลกของฉันเราไม่มีถ้อยคำเหล่านี้ เราเพียงเลือก เลือกที่จะคิด จะกระทำ และตัดสินใจ

    โลกของฉันมีมหาสมุดใหญ่ เป็นมหาสมุดที่เต็มด้วยสมุดและหนังสือ นักเดินทางขณะแล่นเรือสามารถคว้าหยิบขึ้นมาอ่าน บ้างหาความรู้ บ้างหาความบันเทิง

    บนท้องฟ้ามีนกกระดาษพิมพ์ใช้แล้ว เมฆกระดาษรูปร่างหน้าตาต่าง ๆ ล่องลอยอยู่ไปมา บางครั้งก็ตกลงมาเป็นตัวอักษรช่วยจุดประกายความคิดใหม่ ๆ ให้เหล่านักอักขระสัญจร

    ต้นไม้ของที่นี่มีลำต้นเป็นดินสอปักปลายลงในดิน ข้างใต้นั่นคงเต็มด้วยแร่ธาตุจินตนาการ เพราะผลไม้ที่เราเด็ดกัดกินสองข้างทางให้รสชาติที่วิเศษเป็นเลิศ เหมือนได้ท่องไปยังอีกดินแดนแสนไกล ดินแดนที่ยังไม่เคยมีผู้ใดสำรวจมาก่อน แต่ต้องระมัดระวังจงดี มีบ้างผลไม้บางชนิดทำให้จินตนาการสะดุด ถึงกับคิดอะไรไม่ออก คงเป็นสัจธรรมทุกสิ่งย่อมมีสองด้านในตัวเอง เราเพียงรู้ระมัดระวัง รู้เลือก เลือกอีกแล้วสินะ อาจบางทีสิ่งเดียวที่ผู้คนบนโลกของฉันมีคือ เลือก

    เหมือนกับการได้พบกับเธอ

    ฉันตระหนักแต่แรกว่าเวลาที่จะต้องสูญเสียเธอเดินทางมาเคาะประตูแล้ว

    หากเราคนใดคนหนึ่งเพียงมองอีกคนจากที่ไกลแล้วเดินจากไป การจากย่อมไม่เกิดขึ้นเนื่องเพราะการพบยังไม่อุบัติ การจากที่ไร้ความรู้สึกหรืออารมณ์ใด ๆ แผ้วพาน ย่อมมิใช่การจาก เป็นเพียงปรากฏการณ์หนึ่งบนถนนสายชะตา เมื่อเธอสวนทางกับคนแปลกหน้า ณ วินาทีนั้นเธอคงไม่เรียกว่าพบและจาก

    เธอนั่งดื่มกาแฟอยู่ในร้านแห่งหนึ่ง โต๊ะชิดบานกระจกมองเห็นถนนหนทางข้างนอกแจ่มชัด ผู้คนสัญจรไปมาบนทางเท้า เลยไปนิดเป็นสี่แยกไฟแดง คนกลุ่มหนึ่งกำลังข้ามถนนมาฝั่งเธอนั่ง

    แต่แล้วมีรถเก๋งสปอร์ตแล่นฝ่าไฟแดงโดยเร็ว พุ่งชนชายคนหนึ่งกระเด็นตกบนทางเท้าตรงกับเธอ เลือดไหลเป็นทาง ดวงตาชายคนนั้นเบิกกว้างเมื่อเห็นเธอ เป็นแววตาของความอ้างว้างและรอคอย เขาไม่ขยับ ได้แต่ส่งสายตามองเธอค้างอยู่อย่างนั้น แววตาที่เลื่อนลอย

    ส่วนเธอเล่า..เป็นธรรมดาคงต้องตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดตรงหน้า จ้องมองชายแปลกหน้าคนนั้นด้วยความสงสาร และต้องรีบเบือนหลบไม่อาจทนดูสภาพของเขา ภาพยังคงติดตาแม้กลับถึงที่พัก

    เมื่อถึงที่พัก เธอเปิดตู้จดหมาย หยิบจดหมายในตู้ ที่พักเป็นบ้านเช่าสีขาวมีสะพานยื่นไปในทะเลสาบ เธอเพิ่งมาเช่าอยู่เพื่อหลีกหนีสังคมผู้คนวุ่นวาย

    วันหนึ่งเมื่อเปิดตู้จดหมายพบจดหมายของชายหนุ่มคนที่ย้ายออกจากบ้านหลังนี้ก่อนเธอเข้าอยู่ เธอนึกสนุกเขียนตอบเขาแล้วใส่ไว้ในตู้ วันต่อมา พบจดหมายตอบ จากนั้นเธอทั้งสองก็เขียนจดหมายถึงกัน ทั้งที่อยู่ในเวลาเหลื่อมซ้อน

    เธอวางข้าวของ เปิดซองจดหมายออกอ่าน แต่แล้วดวงตาต้องเบิกโพลง เขาบอกว่าจะมาหาเธอที่ร้านกาแฟเธอนั่งประจำ หรือจะเป็นชายคนนั้น เวลาของเขาอยู่ก่อนหน้าเธอ หากเป็นเช่นนั้น เหตุการณ์นั้นยังไม่เกิดในเวลาของเธอ เธอยังมีเวลาหยุดเขาไม่ให้ข้ามถนน เธอจะต้องรีบไป..

    เธอจะหยุดเขาทันหรือไม่?

    หากเธอทำไม่สำเร็จ

    เมื่อเธอจ้องมองไปที่แววตาคู่นั้น เธอจะไม่เบือนหลบ เธอจะวิ่งไปประคองเขา พาเขาส่งโรงพยาบาล ฉากเรื่องราวจะต้องเปลี่ยนไป หยาดน้ำตาเธอจะอยู่กับเขาจนลมหายใจสุดท้าย

    ฉากหลังคือการพรากจาก แต่ฉากแรกคือปรากฏการณ์ของชะตา ฉากแรกเขาคือคนแปลกหน้า แต่ฉากหลังเขาคือคนคุ้นเคยที่เธอต้องการพบเจอ

    ทั้งสองเป็นคนเดิม ต่างกันเพียงพบพาน

    เมื่อพบพานทั้งรู้ว่าต้องเจอกับโศกเศร้าของการพราก ฉันยังเลือกที่จะพบพาน เลือกที่จะยิ้มรับอาดูรยามพรากจาก เนื่องเพราะในโลกของฉัน สิ่งสูงค่าคือ 'ความทรงจำ' ความทรงจำที่จะเป็นเสมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงโลกจินตนาการให้ดำรงคงอยู่ ไม่หลุดเลื่อนลอยไปโดยไร้ทิศทางและจุดหมาย

    เมื่อเวลาพรากมาเยือน ขอเพียงมั่นใจว่า..ได้ผ่านช่วงเวลาพบพานมาโดยงดงาม เท่านี้ฉันคงหลั่งน้ำตาพรากด้วยความสุขใจ

    คิดถึงและรัก
    นักเดินทางบนดาวสีดิน
    ปลายร้อน ๒๕๕๒

    Character from 'ilmaley' Korea Movie


  5. ขอบคุณท่านคั่นฯที่แวะทักทายค่ะ

    ดาวสีดินน่าสนใจจริงๆ เลยทั่นนักเดินทาง เดินทางไปยังไงนี่?

    ความจริงข้าเจ้าก็กะลังฝึกตนเป็นนักเดินทางอยู่เหมือนกัลล์ หวังว่าเราคงมีโอกาสได้พบเจอกันในระหว่างเส้นทางนะทั่นนะ

    ด้วยความเคารพ


แสดงความคิดเห็น