- รุ้งงามแห่งชีวิต -


ณ โค้งขอบฟ้า
รุ้งงามทายทักละอองน้ำฉ่ำเย็น
โปรยรอยยิ้มเป็นกลีบดอกไม้พร่างประกายเกล็ดดาวหมื่นพัน
กลั่นหยาดน้ำค้างแตะแต้มกลีบเรียวละมุนของหญ้าเจ้าชู้ละลานทุ่งฝัน
เพชรน้ำค้างประดับใยแมงมุมสาว
วับวาวพราวฉ่ำไปทั้งรวงรัง


น้ำค้างตูมเต่งหยดหนึ่ง
บิดตัวอย่างเกียจคร้าน พลันร่วงหล่นจากเรียวหญ้า
กำซาบอาบซ่านพื้นดิน
เมล็ดน้อยๆ แห่งเผ่าพงศ์หล่นร่วงแนบซบ
ขดกายซุกนุ่มดินแห่งโอบเอื้ออาทร
กลีบดอกไม้ร่วงหล่นทับถม
โอบประคองด้วยอ้อมละมุนกรุ่นกลีบบาง


แสงอ่อนอุ่นทาบทอขอบฟ้าไกลโพ้น
รุ่งอรุณย่างกราย
รุ้งงามว่ายฟ้าเล่นแสงตะวันเจิดประกายรัศมีพริบพราย
ชำแรกอณูอากาศม้วนเกลียวไปกับหมอกสาย
เริงร่ายสายลมสู่ยอดไม้โบกไหว
ลูบไล้เนื้อนาสรรพชีวิตด้วยรักละมุนละไม


ในโอบอ้อม
ด้วยน้ำ ด้วยดิน ด้วยแสง มวลอณูอากาศ
และรักแห่งบุพการี
ชีวิตน้อยๆ ผลิบาน...ดำรง...สืบทอด
ชีวิต...สู่...ชีวิต



ในเรื่องราว: 0 ความคิดเห็น |


- นักฝัน -


ในมุมเงียบเหงา ใต้ผืนฟ้ามืดมิด
ม่านน้ำค้างพร่างพรม
ดวงดาวเล่นซ่อนหา
เจ้าจันทราแอบงีบหลับไหล
นักฝันครวญเพลงเดียวดาย


ณ ที่ไกลแสนไกล มีดวงไฟวับแวม
ดวงไฟนักฝัน
ผู้เดินทางล่วงหน้ามานับนาน
ทิ้งเครื่องหมายเป็นรอยเท้าบอกเล่าเรื่องราวหมื่นพัน
เรื่องราวการเป็นพยาน ในงานวิวาห์ของเจ้าสาวดอกหญ้ากับเจ้าบ่าวผีเสื้อหนุ่ม
ปลอบประโลมเจ้าหญิงดอกไม้ผู้สะอื้นไห้ในสายลมรำเพย
เมื่อเจ้าผึ้งหนุ่มปันใจให้รักใหม่
ทักทายหยาดน้ำค้างท่ามละอองหมอกเหมยในรุ่งอรุณแรกของฤดูหนาว
นักฝัน...เดินทาง
พานพบ....ผ่านพ้น


ณ ที่ไกลแสนไกล
ดวงไฟนักฝัน
บางดวงสว่างไสว เจิดจรัส
บางดวงอ่อนล้า ริบหรี่
เพียงลมพัดผ่านแผ่วเบาก็ดับวูบลง


ในมุมเงียบสงบ ใต้ผืนฟ้ามืดมิด
น้ำค้างฉ่ำชุ่มประหนึ่งหยาดฝนพร่างพรม
หมู่เมฆเคลื่อนคล้อยบดบังดวงดารา
เจ้าจันทราแอบงีบหลับไหล
กลีบสุดท้ายของดอกไม้ชราปลิดขั้วอำลาโคนก้าน
ในซอกมุมเคียงใกล้ เจ้าดอกไม้น้อยหลับไหลในอ้อมอุ่น แต้มยิ้มละมุนบนใบหน้า
ฝันถึงเช้าแสนงามยามรุ่งอรุณแรกแห่งชีวิตเยี่ยมหน้ามาทายทัก


บทเพลงบทใหม่กังวานหวานเศร้า
นักฝัน...เดินทางเดียวดาย...


ในเรื่องราว: 2 ความคิดเห็น |
ยอดปิยมิตรที่รัก

อีกแล้ว ฉันละเลยเธออีกครั้งแล้ว ไม่อยากย้อนเวลาไปดูวันเดือนปี ว่าฉันปล่อยให้การสื่อสารระหว่างเราขาดหายไปนานแค่ไหน และมิอาจกล่าวคำอื่นใดนอกจากคำว่า...ฉันเสียใจ

เสียใจที่ลดความสำคัญของเธอลงจนให้เรื่องอื่นมากลบเสียหมดสิ้น และฉันก็มิอาจให้คำสัญญาแก่เธอได้ ว่าต่อไปจะไม่ทำแบบนั้นอีก จะสัญญาได้อย่างไร ในเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีวันรักษาสัญญาได้

ตอนนี้ฉันย้ายมาอยู่ดาวสีหม่นชั่วคราว บรรยากาศรอบตัวอึมครึมและซึมเซา ประหลาดใจเป็นที่สุด ฉันเคยชมชอบบรรยากาศแบบนี้สุดใจ...ห้วงยามงามเหงาอันแสนหวาน ทุกอณูอากาศแทรกซึมด้วยความเงียบสงบ เหมือนลมหยุดพัด ใบไม้หยุดไหว แต่ละวินาทีละม้ายว่าเกียจคร้านจะดำเนินเคลื่อนผ่าน

เมื่อบรรยากาศที่ว่าเยี่ยมหน้ามาทายทัก ฉันเฝ้าคอยแต่จะขดตัวอยู่บนเตียงนุ่ม มิสนใจไยดีกับเรื่องราวอื่นใด ปล่อยให้เวลาเอื่อยเฉื่อยผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า คล้ายลูกแมวขี้เซานอนซุกกายเกียจคร้านอยู่ข้างเตาอุ่นของวันฤดูหนาว แม้ภายนอกจะดูเหมือนเช่นนั้น สงบซบเซา แต่ภายในกลับสดใสเริงร่า ความมีชีวิตชีวากำลังโลดแล่น แน่นอน มีเพียงฉันคนเดียวที่รู้

โลกในหนังสือ โลกในจินตนาการ เบิกบานช่วงเวลาเช่นนี้เสมอ

แต่ ณ ดวงดาวสีหม่น มันช่างอึมครึมทั้งโลกจริงและโลกฝัน ฉันนอนซึมกะทือ จินตนาการว่างโหวง ความมีชีวิตชีวาเหมือนโบยบินหนีหน้าไปสุดขอบดาราจักร แม้แต่แขนขาก็ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ราวหญิงแก่วัยแปดสิบไร้แล้วซึ่งเรี่ยวแรง หัวใจเต้นผะแผ่ว คลื่นสมองขาดห้วง ลมหายใจรวยริน ฉันกำลังจะสิ้นแรงต่อลมหายใจให้ตนเอง

ให้ตาย! ฉันยังสาวสะพรั่งอยู่แท้ๆ

เชื่อเถอะ ว่าฉันยังสาวสะพรั่ง ยัยแก่แร้งทึ้งที่ว่านั่นไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ฉันแน่นอน หล่อนเป็นใครอีกคนที่ฉกฉวยร่างกายฉันไปนอนหายใจพะงาบๆ ยามฉันเผลอตัว แต่อีกไม่นานหรอก เมื่อลมหายใจเธอดับสูญ ฉันจะเกิดใหม่ในร่างกายเดิม ความมีชีวิตชีวาจะกลับเยี่ยมเยือน ความฝันและจินตนาการจะโลดแล่น หัวใจอิสระจะโบยบินดุจนกเสรีทะยานไม่หยุดยั้ง

แค่เฝ้ารอ...และเฝ้ารอ...


รักยิ่งเหนือสิ่งใด
สหายไกลโพ้น
วันอึมครึมในฤดูร้อนของดาวกลียุค





ปิยมิตรที่รักยิ่ง

อีกครั้งที่ฉันจำต้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ บรรยากาศทึบทึม สหายร่วมห้องเพิ่งแพ็คกระเป๋าเดินทางกลับบ้านเมื่อตอนบ่ายจัด ทั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเตรียมการล่วงหน้า ทุกอย่างปุบปับและฉุกละหุก เธอทำงานอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใจกลางการชุมนุมของคนกลุ่มใหญ่ มิตรคนดี- เธอคงยังไม่รู้ว่าดวงดาวของฉันเกิดความแตกแยก มีการแบ่งพวก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพียงเพราะผลประโยชน์ของคนไม่กี่คน ปลุกปั่นบ้านเมืองเสียเละตุ้มเป๊ะ ฉันไม่อยากพูดใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงขอเว้นเสีย

กลับมาที่เพื่อนรักของฉัน ที่เกริ่นถึงการชุมนุมก็เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้ว ห้างสรรพสินค้าอยู่ใจกลางการชุมนุม เป็นเหตุให้ต้องปิดทำการไม่มีกำหนด เธอว่างงานมาสี่วัน เข้าวันที่ห้าไม่มีวี่แววว่าห้างฯจะเปิด เธอจึงแพ็คกระเป๋ากลับบ้าน ทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง

อาจฟังว่าฉันกำลังน้อยใจ เหงา หรือว้าเหว่ เปล่าเลย ฉันไม่ได้รู้สึกใดๆ อย่างที่ว่านั่น นอกจากจะรู้สึกเพียงเงียบและสงบ

ไม่ค่อยบ่อยนักหรอกที่ฉันจะรู้สึกเหงา เพราะฉันคุ้นชินและชื่นชอบความเงียบสงบเป็นชีวิตจิตใจ ฉันสามารถอยู่ในที่เงียบๆ สงบๆ ได้เป็นวันๆ มีแต่คนถามว่าฉันอยู่ได้ยังไง เขาประหลาดใจฉัน แต่เขาไม่รู้หรอกว่า ฉันก็ประหลาดใจเขาเช่นกัน เพราะความเงียบสงบเป็นสิ่งน่าพิสมัยยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ทำไมเขาถึงคิดว่าฉันจะอยู่กับมันไม่ได้?

บางครั้งฉันก็รู้สึกตกใจ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองช่างแปลกแยกและแตกต่างจากชาวบ้านชาวช่องเขาไปทุกที อย่างวันนี้ ฉันกับเพื่อนคุยกันเรื่องการเดินทางกลับบ้าน เธออยากนั่งเครื่อง แต่เธอกลับฉุกละหุกแบบนี้คงหาตั๋วลำบาก รถทัวร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

นึกย้อนกลับไปหลายปีก่อน เราเดินทางโดยรถไฟ ต่อมาก็รถทัวร์ธรรมดา ขยับเป็นรถทัวร์วีไอพี จนตอนนี้อยากไปไหนๆ เครื่องบินก็ส่งเราถึงที่หมายได้ปุบปับทันใจ ใครๆ ก็เป็นแบบนี้ เดินทางไปหาความก้าวหน้า ชีวิตคนเราต้องพัฒนาขึ้น แต่ฉันกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะฉันยังนึกอยากโดยสารรถไฟเหมือนก่อน อยากมองทุ่งนา มองป่าเขา ฟังเสียงสายลมหวีดหวิว เสียงฉึกกะฉักของล้อรถ เสียงกรีดแก้วหูเมื่อรถวิ่งข้ามสะพานเหล็กหรือเข้าอุโมงค์ มองดูเส้นผม เครื่องแต่งกายของผู้โดยสารเต้นไปตามจังหวะสายลม มองภาพงดงามของขอบฟ้ายามเปลี่ยนสีสันอัสดง

เราชื่นชมกับภาพงดงามระหว่างทาง ขณะหัวใจตระหนักว่ามีจุดหมายปลายทางให้มุ่งไปหา ยามนั้นฉันเห็นภาพงดงามทั้งภายนอก และภายใน

เธอบอกว่าฉันเป็นนักฝันเกินไป มีจินตนาการเกินไป ฉันรู้ เธอมิได้ตำหนิติเตียน หรือเย้ยหยันถากถาง กลับกัน สีหน้าเธอยิ้มละไม บอกให้รู้ว่าเธอมิได้ดูถูกความคิดฉันเลยสักนิด และเธอก็มิได้บอกให้ฉันกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ฉันเข้าใจว่า สิ่งใดที่ฉันมีความสุข เธอยินดีให้ฉันคิดฉันทำ และเธอพร้อมรับฟังมันเสมอ

เหมือนกับการใช้ชีวิตของฉันที่ออกจะแปลกประหลาดกว่าชาวบ้านชาวช่อง ชีวิตกลับหัวกลับหางไปเสียหมด ถึงกระนั้นเธอก็เข้าใจ อย่างน้อยฉันก็คิดว่าเธอเข้าใจ

กว่าเธอจะกลับมาฉันมีเวลาอยู่คนเดียวถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม ปกติฉันต้องหาใครสักคนมานอนเป็นเพื่อน แต่ครั้งนี้อยากอยู่ด้วยตัวเองมากกว่า นอนอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ครุ่นคิดโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย บางทีฉันอาจขบปัญหายิ่งใหญ่ที่ผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวได้สักปัญหา ไม่ก็มีความคิดดีๆ เจ๋งๆ ผุดขึ้นในหัวสักอย่าง หรือถ้าไม่ได้อะไรอย่างที่ว่ามาเลยก็อาจเก็บกวาดห้อง สำรวจหนังสือหนังหาที่สุมรุมอยู่ในตู้ บนโต๊ะ ใต้โต๊ะ หัวเตียง คัดแยกเล่มที่อ่านแล้วกับยังไม่ได้อ่าน และจัดการทยอยคืนหนังสือของใครๆ ที่หยิบยืมมา ฉันมั่นใจว่าต้องมีอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสิบเล่มเป็นแน่ และเกินกว่าครึ่งที่ฉันยังไม่ได้เปิดอ่าน หนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้ อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการสะสาง

นอกระเบียงความมืดโรยตัวลงมาแล้ว ป่านนี้เธอคงกำลังนั่งกอดหมอนอยู่บนรถทัวร์ มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง สถานที่ซึ่งคนที่เธอรักรอคอยอยู่ และในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ห้องนี้ คนที่รักเธอคอยส่งใจอำนวยพรให้เธอเดินทางถึงจุดหมายโดยปลอดภัย

ฉบับนี้เขียนมาคุยเล่น บอกเล่าเรื่องราวเสี้ยวหนึ่งในชีวิต หวังว่ายอดมิตรของฉันคงไม่เบื่อที่จะรับฟัง


รักและคิดถึงเสมอ
มิตรน้อย, ดาวสีน้ำเงิน
ก่อนสงกรานต์ 2553

มิ่งมิตรที่รัก

เริ่มเขียนจดหมายถึงเธอฉบับนี้ฉันเพิ่งกลับจากออกกำลังกาย เหงื่อยังชุ่มตัวอยู่เลย ฉันนั่งอยู่หน้าโต๊ะญี่ปุ่นขนาดใหญ่พอควร เบื้องหน้ามีโน้ตบุ๊กหน้าจอปิดสนิท ซ้ายมือมีกองหนังสือวางเรียงอยู่สี่ห้าเล่ม ขวามือมีน้ำเต้าหู้แก้วใหญ่ยักษ์ไว้ละเลียดซดเมื่อต้องหยุดคิดว่าจะเขียนเล่าอะไรให้เธอฟังต่อไปดี

ตั้งแต่จดหมายฉบับก่อนโน้น ที่เคยเล่าเรื่อง ‘เช้าฤดูหนาว’ ก็เพิ่งวันนี้แหละนึกคึกลุกขึ้นมาออกกำลังกายตอนเช้าอีกครั้ง รู้สึกคึกคักกระปรี้กระเปร่าขึ้นมากมาย

เมื่อวานไปเดินเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือ ไม่ได้ตั้งใจล่วงหน้าหรอกว่าจะซื้ออะไรบ้าง ดูเหมือนไม่มีแผนการแต่แท้จริงก็เป็นแผนการอยู่ในนั้น แผนการที่ตั้งใจว่าจะไม่วางแผนการไงล่ะ ไม่ได้เสาะหาแผนที่บูธต่างๆ ภายในงานอีกเช่นกัน คิดว่าเดินดูไปเรื่อยๆ เห็นอะไรน่าสนใจก็แวะดูแวะเลือก แต่พอเดินดูเข้าจริงๆ เออหนอ...เล่มนี้เคยนึกอยากได้ เล่มนั้นกำลังเสาะหาอยู่ เล่มโน้นก็ตามหามานานแล้ว แต่จะเล่มไหนๆ ก็ต้องตัดใจเดินผ่านไปก่อน เผื่อว่าบางทีจะเจอเล่มที่ใช่กว่ารออยู่เบื้องหน้า ไม่อยากให้เข้าทำนองว่า ‘เจอไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น’ แม้กรณีนี้จะไม่มีขวานให้บิ่น แต่ถ้าเอาแต่ใจงบประมาณในกระเป๋ามันจะเหี้ยนเตียนเอาได้ อีกทั้งยังไปคนเดียวเงินทุนสำรองระหว่างประเทศก็ไม่มีให้หยิบยืม เจอหนังสือถูกใจแต่พอล้วงเข้ากระเป๋า...ว่างเปล่า คงได้กลับมาตีอกชกหัวอยู่ที่ห้องคนเดียว

เจอหนังสือเรื่อง ‘ต้นส้มแสนรัก’ ที่บูธหนึ่ง เคยนึกอยากซื้อมานานนักหนา แต่ไม่ถึงกับมากมายอะไร คงต้องเล่าย้อนไปว่า ครั้งหนึ่งมีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งแนะนำให้อ่าน แถมยังบริการให้หยิบยืมถึงที่ แต่ฉันเอามาวางไว้ให้ฝุ่นเขรอะเป็นแรมปี จนเจ้าของเขาทวงก็ยังไม่ได้อ่าน สุดท้ายก็หอบไปคืนเมื่อเปิดดูได้ไม่กี่หน้า

ตอนหลังถึงมาพบว่ามีเสียงกล่าวขวัญถึงหนังสือเล่มนี้กันหนาหู ล้วนแล้วแต่มาจากนักเขียนที่ฉันพอจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามอยู่บ้าง ถึงได้นึกเสียดายมาจนกระทั่งถึงตอนนี้

แต่เจอกันเมื่อวานก็ใช่จะได้เกี่ยวก้อยจับจูงกันมาด้วย ขนาดเล่มเล็กบาง ลดราคาแล้วไม่ถึงร้อย แต่ตอนหยิบขึ้นมาดูสายตามันดันเหลือบไปเห็นเล่มที่วางเคียงกัน ‘ต้นส้มแสนรัก2’ เล่มหนาขึ้นมาหน่อย ถ้าเล่มเดียวก็พอทำเนา แต่สองเล่มแบบนี้ ดูหนังสือที่หิ้วอยู่ในมือแล้ว ซื้อเพิ่มอีกก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้อ่าน จึงตัดใจวางลงคืนที่ ได้แต่ลูบปลอบประโลมน้องเค้าในใจว่า

“เอาไว้ให้ฤกษ์งามยามดีกว่านี้อีกหน่อยนะจ๊ะ แล้วพี่จะมารับไปอยู่ด้วย”

ถึงกระนั้น ตอนเดินออกมาสายตายังละห้อยมอง

ออกจากศูนย์ประชุมฯ ได้หนังสือติดมือมา 5 เล่ม เพียงพอสำหรับอ่านไปถึงปีหน้า ปีหน้าจริงๆ นั่นแหละ เอาแค่เรื่อง ‘ตัว**-ของ**’ โดยท่านพุทธทาส ขนาดหน้า 450 หน้า เล่มเดียว ก็ไม่ต้องพูดถึงเล่มอื่นอีก

กลับถึงห้องพักหยิบหนังสือออกมาชื่นชมไม่ทันได้เปิดอ่าน เพื่อนรักก็โทรมาเรียกตัวออกไปธุระ แม้จะไม่อยากออกไปไหน แต่จะปฏิเสธก็ใช่ที่ ฉันพึ่งพาเธอมาเสมอ ถึงเวลาเธอพึ่งพาฉันบ้างฉันกลับไม่ดูดำดูดี ก็คงเป็นเพื่อนระยำไปแล้ว

เสร็จธุระของเธอก็ประจวบเหมาะช่วงรถติด ถือโอกาสแวะเข้าทานมื้อค่ำที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เพิ่งหายป่วย หายไอ หายเจ็บคอแท้ๆ ก็ฟาดของทอดของมันเข้าไปเต็มเหนี่ยว ทั้งน้ำผลไม้หวานเจี๊ยบชื่นใจ ตบท้ายด้วยไอศกรีมอีกแท่ง ไม่กลับมานอนไอทั้งคืนก็บุญเท่าไหร่แล้ว

แค่ก้าวออกจากร้านอาหาร สายตาเรดาร์ของเพื่อนรักก็เหลือบไปเห็นป้ายโฆษณาลดราคาตั๋วหนังประจำวันพุธที่ติดอยู่บนเพดาน เวรกรรมอันใดก็ไม่รู้ ถึงได้ดลบันดาลให้เมื่อวานนี้เป็นวันพุธเสียด้วย ทั้งที่ปฏิเสธไปแล้ว แต่พอเค้าบอก “เดี๋ยวเลี้ยง” ก็หูผึ่งตาโต เดินตามเค้าไปต้อยๆ นิสัยนี้เห็นควรต้องเร่งขัดเกลาโดยเร่งด่วน

ช่วงรอรอบหนังคงไม่มีอะไรน่าพิสมัยเท่ากับการเตร็ดเตร่อยู่ในร้านหนังสือ เข้าหมวดโน้นออกหมวดนี้ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ถึงเวลาออกจากร้านจริงๆ ได้ปากกามาด้ามเดียว ราคาแค่ 6 บาท แต่เขียนลื่นนุ่มนวลดีชะมัด ว่าจะหยิบมาสักสองด้าม คิดไปคิดมาฉันไม่ค่อยได้ใช้ปากกามากเท่าดินสอ คงเห่อเขียนสักพักแล้วก็ทิ้งไว้อีก เขียนหนังสือด้วยปากกาทีไร มีแต่ตัวขีดฆ่าเต็มไปหมด จนกลับมาอ่านทวนแล้วพานจะปวดหัว บางครั้งเขียนแทรกมุมโน้นมุมนี้ ถึงเวลาเรียบเรียงต้นฉบับ ข้อความดีๆ(คิดเอาเองนะว่าดี –ฮา)ก็ตกหล่นไปหลายครั้ง ฉันถึงชอบเขียนด้วยดินสอมากกว่า อยากเปลี่ยนประโยคก็แค่ลบออก ถ้าลบไม่ไหวเพราะข้อความมันยาวมาก หรือความคิดไหลเร็วเกินกว่าจะเสียเวลาหยุดลบ จะขีดฆ่าหรือเขียนแทรกเอาบ้างก็คงไม่กระไรนัก ไม่ถึงกับมีลายเส้นลายพร้อยชวนให้ตาลาย อย่างน้อยข้อความยุ่งเหยิงบนหน้ากระดาษก็ได้จัดการไปแล้วบางส่วน

ใครคนหนึ่งเคยบอกไว้ นักเขียนไม่ลบตัวอักษรของตนเอง ข้อความไหนไม่ต้องการก็ใช้วิธีขีดฆ่าทิ้ง ไม่รู้หรอกว่านักเขียนทุกคนจะยึดหลักนี้เหมือนกันหมดหรือเปล่า แต่ฉันไม่เห็นความจำเป็นจะต้องเดินตามใคร ทำในสิ่งที่เราถนัดและสะดวกต่อตัวเราจะดีกว่า

เมื่อครั้ง ม.ต้น สมัยเรียนคณิตศาสตร์กับคุณครูท่านหนึ่ง ข้อสอบของท่านไม่ว่าสอบย่อยสอบใหญ่ กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ต้องเป็นวิธีทำทุกครั้ง แต่ก่อนทำข้อสอบท่านก็จะบอกทุกครั้งเช่นกัน

“โจทย์หนึ่งข้อมีวิธีคิดหาคำตอบเป็นร้อยวิธี ครูไม่สนใจว่าพวกเธอจะใช้วิธีไหนคิดแก้ปัญหา แค่เอาคำตอบมาให้ครูให้ได้ก็พอ”

จะคณิตศาสตร์ อักษรศาสตร์ หรือศาสตร์ไหนก็คงละม้ายคล้ายคลึงกันบางอย่าง

ขณะคิดขณะเขียนเราจมอยู่กับตัวเอง จมอยู่กับความคิดยุ่งเหยิงในหัวก็เพียงพอแล้ว ไยจะต้องมายุ่งเหยิงกับข้อความบนหน้ากระดาษอีกซ้ำสองซ้ำสาม

จะลบวิธีเก่าแล้วคิดคำนวณวิธีใหม่ ขีดฆ่าตัวอักษรกี่พันกี่หมื่นตัวอักษร หรือลบแล้วเขียนซ้ำรอยเดิมอีกกี่พันกี่หมื่นครั้ง สิ่งที่ต้องการคือคำตอบสุดท้ายที่พึงพอใจมิใช่หรือ?

นาฬิกาบอกเวลาว่าฉันนั่งอยู่ตรงนี้มากว่าชั่วโมงแล้ว ก่อนไปออกกำลังกายแช่ผ้าเอาไว้ คงต้องไปซักแล้วล่ะ จดหมายฉบับนี้แค่อยากเขียนมาเล่าโน่นเล่านี่ เปิดซิงปากกาด้ามใหม่ นานๆ จะได้เขียนอะไรด้วยปากกาที แปลกดี

แล้วเจอกันใหม่ฉบับหน้า


ด้วยรัก
สหายน้อย, ดาวสีน้ำเงิน
1 เมษาฯ 2553



๏ อุษาสางรางแสงอุ่นแรงอ่อน
เลื่อมระยับซับซ่อนรุ้งยอนสาย
รังสีแรกแทรกฟ้าพรรณราย
อรุณฉายกรายโฉมประโลมลาน

๏ แผ่วสายลมโลมลูบบุปผชาติ
ปทุมมาศไหวเรียงเคียงผสาน
วิหกว่ายคุ้งฟ้าคคนานต์
เริ่มเพลงกาลรวิวารละลานตา

๏ ตื่นเถอะเจ้าเพราโฉมมยุรฉาย
อุษาร่ายพรายเล่ห์สิเน่หา
พร่างอำพรางจางม่านหม่นมนต์ทิวา
จงลืมตาเถิดพธูดูตะวัน

๏ ผ่านค่ำคืนตื่นใจอาลัยนัก
หวามเงารักลวงเหงาล่วงเงาฝัน
ที่พร่ำพรอดกอดใกล้คือใครกัน
จะไม่ถามย้ำยันให้หวั่นใจ

๏ เพียงตระคองพธูมาสู่เช้า
จะพาเจ้าว่ายทิวาอุษาสมัย
ล่วงดำเนินเพลินล่องท่องครรไล
คเนจรร่อนไปในความจริง

๏ ท่ามทิวาที่เห็นเช่นประจักษ์
เจ้าแสนรักจงมองทอดเถิดยอดหญิง
อาจร้อนแดดแผดจ้าน่าชังชิง
เพียงทุกสิ่งจังจริงใช่สิ่งลวง

๏ ด้วยหัวใจดวงนี้นี่แหละเจ้า
ที่จะเฝ้าเคล้าคลอพนอหวง
พาเจ้าผ่านคืนวันฝันทั้งปวง
จนเลยล่วงลุมรรคาอักขราภิรมย์

๏ สู่โลกกว้างลานรักทุ่งอักษร
เลื่อมลายกลอนรัถยาปัทมามาลย์ประสม
เราโลดเล่นเริงร่ายในสายลม
บนผืนพรมอักษราพัตราภรณ์

๏ จวบสายัณห์เยือนหล้าจนคราพลบ
พระสุรีย์เลื่อนลบเหลี่ยมสิงขร
ม่านเงาคลี่คลุมยอดยุคนธร
ก่อไฟฟอนกล่อมเจ้าเข้านิทรา

๑๐๏ โอ้..ดึกดื่นคืนคล้อยดาวลอยคว้าง
อย่าแรมร้างห่างเหสเน่หา
พร่างอำพันจันทร์สว่างกระจ่างตา
จะครวญกลอนกล่อมกานดานิทรารมย์

๑๑๏ แม้ตาหลับมือกลับกระชับมั่น
ในโลกฝันอย่าหวั่นเลยหวานขม
จะเคียงข้างจวบเช้าคอยเฝ้าชม
ย้ำปรารมภ์ยืนยัน..ใช่ฝันไป ฯ

วิมานดาวเคล้ากลิ่นดิน
ค่ำฝนจาง กลางฤดูใจ


-------------


โดย ธุลีดิน : เรไรร่อนร้อง : ย้ำปรารมภ์ยืนยัน..ใช่ฝันไป
ถึง ‘เธอ’ ผู้อยู่ในความคิดถึงเสมอมา


ความเจ็บป่วยของฉันทุเลาเบาบางลงมากแล้ว คงเพราะความสบายใจที่รู้ว่าอาการมิได้หนักหนาอย่างหวาดหวั่น ร่างกายจึงสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตาม ชีวิตก็แบบนี้ ไข้กายไม่เท่าไรแต่ไข้ใจรุนแรงนัก ดึงให้ร่างกายบอบช้ำแสนสาหัส กี่คืนมาแล้วที่ฉันจมอยู่กับน้ำตา กี่พลบมาแล้วที่ฉันกลัวราตรีย่างกราย แท้จริงหาได้หวาดหวั่นกับความเจ็บป่วยไปสักเท่าไหร่ แต่ฉันหวั่นกลัวความเหงาเดียวดายที่สยายปีกโอบล้อม ราวอสุรกายจากขุมอเวจีแสยะเขี้ยวข่มขวัญให้ฉันซุกมุมขดตัวอยู่กับเงาหลืบ หันหาทางไหนพบเจอแต่ความว่างเปล่าให้แอบอิง


ราตรีกาลยามดวงใจมืดมิดมันวังเวงเหลือทน


นั่นแหละสิ่งที่ฉันกลัวยามป่วยไข้ ร่างกายอ่อนแอพาหัวใจบอบบางให้อ่อนแอจนเกินคาดคิด แค่พบพาน ‘ความไม่สะดวกเล็กๆ’ ก็ทำชีวิตเจียนขาดรอน


เคยได้ยินมานักต่อนัก หากทุกข์ไม่ถั่งโถมย่ำยีจนดวงใจป่นปี้ ชีวิตก็ยังกระเสือ-กกระสนหาทุกข์อยู่ร่ำไป แต่หากเมื่อใดทุกข์ย่างกรายจนดวงใจเกินรับ ชีวิตจะเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนวิถี ถ้าไม่เจ็บป่วยคราวนี้ฉันคงไม่รู้ว่าหัวใจนี้มันบอบบางและไหวหวั่นแค่ไหน ยังคงหลงเพริดหลงโง่งมว่ามันแข็งแรงพอจะผ่านทุกปัญหา แท้จริงมันไม่มีปัญญาสักนิด แค่สะดุดก้อนกรวดก็ล้มลงไม่เป็นท่า


หัวใจคงต้องเสริมเกราะเพื่อรับมือกับอุปสรรคนานา แม้หนักหนาสาหัสก็ยังยืนหยัดด้วยตั้งมั่น ไม่ล้มลงแล้วหลอมละลายตนอยู่ในทุกข์ท้ออย่างที่แล้วมา


คงถึงเวลาแล้วที่หัวใจฉันต้องฝึกฝน


นักกีฬายิ่งหมั่นซ้อมเท่าไร ชัยชนะยิ่งเห็นอยู่รำไร นักหัดเขียนยิ่งหมั่นเพียรเท่าไร เหลี่ยมเงาแห่งคมอักษรยิ่งเปล่งประกายแวววาว ไม่ต่างกันเลยกับหัวใจทุรนทุรายดวงนี้ หากขัดเกลา อบรมบ่มนิสัย และฝึกฝนให้ทานทนต่อทุกสิ่ง เชื่อแน่ว่าสักวันความแข็งแกร่งย่อมก่อเกิด


ถึงวันนั้น ยังจะมีอะไรให้ต้องหวาดหวั่น?


ด้วยรักแห่งชีวิต
เมื่อลิ้มรสทุกระทม ปลายมีนาฯ 2553



สหายรัก

ขณะฉันเขียนจดหมายอยู่นี้นาฬิกาบอกเวลา 01.35 น. มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันควรจะนอนหลับพักผ่อน แทนมามัวนั่งถ่างตาเขียนจดหมายถึงเธอ แท้จริงฉันไม่ได้นั่งถ่างตาแต่อย่างใดเลย เพราะดวงตาฉันมันแข็งค้างด้วยความเจ็บปวดทางกายรุมเร้า ฉันเข้านอนตอนเข็มนาฬิกาเดินเลยเที่ยงคืนมาเล็กน้อย และพลิกตัวกลับไปกลับมาจนกระทั่งก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที

ฉันไม่สบายอีกแล้ว ปวดไปหมด มันรุนแรงกว่าที่เคยเป็นมา แน่นอนนี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ทุกครั้งมันไม่มากเท่านี้ แทบจะไม่รู้สึกรู้สาด้วยซ้ำ แต่ความเจ็บปวดคราวนี้มันทำให้ฉันหวาดหวั่น

เธอจะเชื่อมั้ยถ้าวินาทีนี้ฉันจะบอกเธอว่าฉันกำลังนึกถึงความตาย เธอคงนึกหัวเราะเยาะว่าไยฉันถึงได้ตื่นตูมไปได้ถึงเพียงนั้น ฉันเชื่ออยู่อย่างหนึ่งนะสหายรัก ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เพียงกะพริบตา

ญาติสาวของฉันคนหนึ่ง อายุเพียงแค่สามสิบต้นๆ เธอแข็งแรงดีมาตลอด แต่เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้รับข่าวว่าเธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่เกินหกเดือน

ฉันกลัวจังเลย

กลัวว่าสิ่งที่ฉันริเริ่มจะเดินทางไปไม่ถึงจุดหมาย ไม่ปรารถนาให้มีสิ่งใดค้างคาเลย ห่วงไปสารพัด ความผูกพันทรมานอย่างนี้เอง มันรัดรึงจนฉันดิ้นไม่หลุด

ที่ผ่านมาฉันเคยมั่นใจตลอดว่าตนเองไม่กลัวความตาย ยังนึกเยาะคนอื่นที่คิดกลัว ยังเคยบอกใครๆ ว่าจะหวั่นไปไยหากชีวิตต้องสิ้นสุดเพียงแค่นี้ ดีสิ สิ้นเวรสิ้นกรรมกันชาตินี้ไปเริ่มกันใหม่ชาติหน้า แต่พอเอาเข้าจริงๆ ฉันกลับตัวสั่นงันงก ตลกสิ้นดี

เคยได้ยินคำกล่าวแสนคลาสสิกประโยคหนึ่งมานานแล้ว

“จงทำวันนี้ให้ดีที่สุดเสมือนมันเป็นวันสุดท้ายในชีวิตคุณ”

คิดมาตลอดว่าจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน ในเมื่อมั่นใจอยู่เสมอว่าวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปยังมีสำหรับเรา แต่บัดนี้ไม่มั่นใจเสียแล้วว่าวันพรุ่งนี้จะยังมีสำหรับฉันอีกหรือเปล่า?

ค่ำคืนเคว้งคว้างอย่างนี้โดดเดี่ยวเหลือเกิน ไม่มีใครเลยให้อุ่นใจ หันไปทางไหนก็เจอแต่ความว่างเปล่ากับเงาตัวเอง ในวันที่ร่างกายอ่อนแอและหัวใจเดียวดาย ทรมานสุดแสน สิ่งที่ฉันทำได้เพียงซบหน้าแล้วสะอื้นไห้ ปล่อยความหนักหน่วงภายในไหลทะลักออกมา ไหลออกมาพร้อมน้ำตาแห่งความอาดูร

ครั้งหนึ่งฉันเคยเขียนจดหมายถึงเธอ ‘เริ่มต้นที่ 0.00 น.’ และฉันพยายามทำอย่างนั้นเรื่อยมา แต่นับจากนี้ หลังคราบน้ำตาจางหาย ฉันจะเดินทางสู่ 0.00 น. ไม่ว่าเวลาสำหรับฉันจะมีอีกยาวนานแค่ไหน ทุกย่างก้าวจะมุ่งสู่ 0.00 น. เท่านั้น และเมื่อถึงวินาทีนั้นหวังว่าฉันจะไม่มีห่วงใดๆ อีก


ค่ำคืนโหดร้าย
กลางมีนาฯ 2553 02.45 น.

มิ่งมิตรแดนไกล

เธออยู่ดีมีสุขหรือทุกข์ตรมเช่นไร? ป่วยไข้หรือร่างกายสดใสแข็งแรงดีอยู่? หวังว่าเธอยังสุขกายสุขใจเช่นที่เป็นมาและยังคงจะเป็นไป ฉันนี่สิกระเสาะกระแสะร่างกายย่ำแย่ลงทุกวัน คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ปล่อยปละละเลยไม่ใคร่สนใจตัวเองเท่าที่ควร เธอคงไม่รู้ว่าฉันมีนิสัยเสียชอบตามใจตัวเองมากไป และมักตามใจไปในทางผิดๆ ซะด้วยสิ อาจไม่เหมาะสมนักถ้าฉันจะนำเรื่องเจ็บป่วยมาโอดครวญต่อเธอ ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ ทุกอย่างจะดีขึ้นได้ถ้าได้รับการแก้ไขปรับปรุงไปในทางที่เหมาะสม แต่ตัวฉันกลับไม่นำพา

เอาล่ะ ฉันคุยกับเธอเรื่องอื่นดีกว่า

เมื่อคืนเพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ความจริงฉันก็อ่านหนังสือก่อนนอนทุกคืนอยู่แล้ว แต่เน้นไปทางหนังสือนิยายไร้สาระเสียส่วนใหญ่ คำว่า ‘ไร้สาระ’ นี่ก็ไม่ได้มาจากความคิดฉันหรอกนะ แต่เป็นคนอื่นที่ให้นิยามเกี่ยวกับนิยายที่ฉันอ่าน ‘ประโลมโลกย์ เพ้อฝัน น้ำเน่า’ นั่นคือคำจำกัดความที่ใครต่อใครให้ไว้ แต่ใครจะว่าอย่างไรก็เรื่องของเขา ฉันไม่สนใจหรอก รสนิยมใครก็รสนิยมคนนั้น เรื่องอะไรที่ฉันจะต้องเปลี่ยนรสนิยมการอ่านเพื่อให้ดูดีในสายตาคนอื่นด้วยเล่า ในเมื่อนั่นไม่ใช่ตัวฉัน จมดิ่งอยู่ในความอึดอัด คับข้องใจ ฉันไม่เคยคิดกระทำ มนุษย์เรานี่ก็แปลก บางคนพยายามสร้างภาพตัวเองเสียดูดีหรูหรา อยากรู้นักเขาจะมีความสุขสักแค่ไหนกันเชียว อีกบางคนก็ประณามหยามเหยียดคนอื่น ผู้ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่ตนเองเป็น นี่สิ ไร้สาระโดยแท้

ว้า.. ชวนเธอคุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้อีกแล้ว อย่าได้ใส่ใจนักเลย บางทีฉันก็ชอบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหาสาระไม่ได้ ดังเช่นหนังสือที่ฉันชอบอ่านนั่นแหละ มาเข้าเรื่องที่ฉันจะคุยกับเธอกันดีกว่า

เผอิญเมื่อคืนฉันดันหยิบหนังสือ ‘มีสาระ’ ขึ้นมาอ่าน หนังสือมีสาระเป็นยังไง ก็น่าจะประมาณว่า เป็นหนังสือให้ความรู้ ต่อยอดความคิด ทำให้คนเราฉลาดขึ้น เหมือนกับที่ใครๆ เขาว่า ‘ยิ่งอ่านมากยิ่งฉลาดมาก’

แต่...สุดแสนประหลาด

ฉันไม่แน่ใจว่าหนังสือพวกนี้จะทำให้ฉันฉลาดได้ยังไง ในเมื่อยิ่งฉันอ่านมากเท่าไหร่ ฉันกลับยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่เขลามากเท่านั้น ยิ่งอ่านยิ่งตระหนักว่ายังมีเรื่องราวมากมายที่เรายังไม่รู้ ยิ่งไม่รู้ก็ยิ่งต้องอ่าน ต้องอ่าน และต้องอ่าน

ให้ตายเถอะ ฉันไม่ชอบเลย ความรู้สึกแบบนี้

คล้ายกับว่าฉันกำลังถูกดึงกลับเข้าสู่วังวนของการขวนขวาย แข่งขัน เพื่อให้เท่าทันคนอื่น ทั้งที่ฉันพยายามสลัดหนี บางทีฉันก็สงสัยว่าที่คิดไปนั้นเพราะฉันมองอะไรในแง่ลบมากไปหรือเปล่า? ไม่มีใครต้องการจะขวนขวาย แข่งขันอะไรกับฉันสักหน่อย คงเป็นเพียงฉันที่ต้องการจะแข่งกับใจตนเองเท่านั้น

ที่น่าตลกก็คือฉันเผลอคิดไปว่า หนังสือมีสาระบางทีก็เหมือนตัวตัณหาดีๆ ชนิดหนึ่ง อ่านไม่ดียิ่งพอกพูนอัตตาตน บางคนอ่านแล้วอวดโอ่ ว่าตนฉลาดรู้ยิ่ง ฉันยังนึกสมเพชเวทนา ความคิดหลังนี่สิตลกร้าย คนโง่อย่างฉันดันสะเออะไปสมเพชเวทนาคนฉลาด จะมีอะไรตลกมากเท่านี้อีก?

อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว ถ้าเธองงๆ สงสัยว่าฉันชวนเธอคุยเรื่องอะไร ก็อย่าได้ใส่ใจอะไรเลย อ่านมันจบตรงไหนก็วางมันไว้ตรงนั้น ฉันแค่เขียนมาคุยกับเธอเล่นๆ แค่คนโง่ๆ ที่อยากระบายความคิดโง่ๆ หาประโยชน์อันใดไม่ได้ เท่านั้นเอง


บ่ายเหงาๆ ห้องเช่าดินแดง
ต้นมีนาฯ 2553

มิ่งมิตรที่รัก

เสียงนกกระจิบกระจอกเจี๊ยวจ๊าวกันบนแผงรับสัญญาณโทรทัศน์ของอาคารฝั่งตรงข้ามระเบียงห้อง ปลุกความสดใสเริงร่าของชีวิตชีวาให้โลดแล่น จำนวนนกที่เกาะกันมากมายนับสิบ กับปีกหลายคู่แข่งกันกระพือพึ่บพั่บ ทำให้เสาเล็กๆ โยกเอนไปมาคล้ายต้องลมแรง

ฉันมองดูความชุลมุนยุ่งเหยิงเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มเอ็นดูกับสังคมเล็กๆ ของพวกมัน บางครั้งก็นึกสงสัยว่าพวกมันถกเถียงกันด้วยปัญหาอันใดหนอ ถึงได้เจี๊ยวจ๊าวคึกคักกันเหลือเกิน เหลือบมองไปบนฟ้ากว้าง นกบางตัวร่อนอยู่ในเวิ้งฟ้า ดูเหงาและเดียวดาย แต่มันคงสุขใจที่ได้ทำอย่างนั้น

วันนี้ฟ้าครึ้ม เมฆทึบทึมไปทั่ว นั่งอยู่ในห้องเล็กๆ บรรยากาศมัวซัว ฟังเสียงนกพูดคุย ขณะคิดคำบรรยายฉากในนิยายไปเรื่อยๆ สุขใจไม่มีอะไรเปรียบ

ร่วมเดือนแล้วกับการเปิดฉากชีวิตตัวละครในนิยายเรื่องใหม่ ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเขียนมาถึงเรื่องนี้ เมื่อย้อนกลับไปมองภาพในอดีตหลังม่านความทรงจำ เห็นตัวเองนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่หน้าแป้นคีย์บอร์ด ฟุบหน้ากับโต๊ะเมื่อสมองทึบตัน หยิบหนังสือใกล้มือมาทุบหัวตัวเองเมื่อนิยายกำลังเดินมาถึงจุดสำคัญแต่ไม่รู้จะบรรยายฉากนั้นยังไงดี

ความสุขที่ได้รับยามย้อนกลับไปมองอารมณ์ของตัวเองในทุกจังหวะตัวอักษร ความภาคภูมิใจที่คว้าฝันให้ตัวเองได้สำเร็จ ล้วนแล้วแต่หลอมรวมมาจากหลากความรู้สึก

มันไม่ได้หยุดลงแค่นี้หรอกสหายรัก ตัวอักษรของฉันยังต้องเดินทางต่อไปเรื่อยๆ ฉันยังมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเขียน อยากจะเล่า อยากร้อยเรียงเป็นดนตรีอักษรบอกเล่าความคิดฝันของฉันให้โลกได้รับรู้ แม้ว่าตอนนี้ทุกเรื่องราวเหล่านั้นยังเป็นเพียงภาพพร่าเลือน ไม่แจ่มกระจ่างชัดเจนนัก ด้วยเพราะมือใหม่อย่างฉันยังไม่ชำนาญการปรับโฟกัสภาพ แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ชำนาญด้านใดก็ต้องเรียนรู้ผ่านการเวลาและเคี่ยวกรำฝึกฝนมิใช่หรือ

เมื่อเกือบสามปีที่แล้ว ฉันยังมะงุมมะงาหราไม่รู้จะบรรยายเปิดฉากนิยายเรื่องแรกในชีวิตยังไงดี จำได้ว่านั่งพิมพ์-ลบ พิมพ์-ลบ กว่าสิบรอบ พร้อมกับความหวั่นวิตกสารพัด ไม่มีความมั่นใจเฉียดใกล้ความคิดแม้สักกระผีกริ้น แต่เมื่อไม่กี่อาทิตย์มานี้กับการเริ่มต้นนิยายเรื่องใหม่ ปลายนิ้วฉันเคลื่อนไหวเป็นท่วงทำนองเพลินใจ ผสานความคิดไหลรี่คล้ายสายธารเล็กๆ ที่กำเนิดมาจากตาน้ำในป่าใหญ่ ไหลผ่านความสงบร่มรื่น และเผื่อแผ่ความชุ่มชื้นสู่สิ่งแวดล้อมรอบกาย ราวกับว่าจะให้ชีวิตตักดื่มกินได้ไม่มีวันเหือดหาย

ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่เลยสหายรักกับสิ่งที่ฉันทำ และฉันไม่ปรารถนาความยิ่งใหญ่ใดมากไปกว่าความสุขเล็กๆ ที่กอบเก็บได้ระหว่างเดินทาง สุดสายปลายทางเส้นนี้จะอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด ฉันไม่เคยใส่ใจให้ความสำคัญกับมันเลย คงไม่ต่างความจริงนัก ถ้าจะบอกว่าเส้นทางสายนี้ไม่มีปลายทาง ฉันหล่อเลี้ยงฝันด้วยตัวอักษรที่กลั่นจากดวงใจรักแต่ละตัว ฉันก้าวเดินไปทีละก้าว ทีละก้าว ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาที่เปี่ยมพ้นอยู่ในดวงใจรักดวงนี้ และฉันจะเดินไปเรื่อยๆ ตราบเท่ายังมีลมหายใจเดินทาง...

นอกระเบียง เสียงนกนับสิบยังระเบ็งกันเซ็งแซ่ ฉันโผล่หัวออกไปดูอีกที เหมือนมันจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น บนเวิ้งฟ้ากว้างนกตัวเดียวยังร่อนลม ไม่รู้จะใช่ตัวเดิมหรือเปล่า แต่จะเป็นนกตัวไหนก็แล้วแต่ ฉันต้องทำให้ได้อย่างมัน โจนทะยานขึ้นฟ้าไม่หวั่นว่าจะต้องเดียวดาย


ด้วยดวงใจรัก
ระเบียงสกุณา
กลางกุมภาฯ 2553

มิ่งมิตรแห่งรัก

ฉันระลึกอยู่เสมอว่าตนเองนั้นยังเขลาในหลายสิ่ง มีเรื่องราวอีกมากมายที่ฉันต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ ฉันเชื่อว่าชีวิตดำรงอยู่เพื่อการเรียนรู้ แสวงหา และเติมเต็ม เติมเต็มในที่นี้หาใช่ความอยากความปรารถนาแห่งใจตน แต่ฉันหมายถึงเติมจิตวิญญาณทีมันยังขาดยังพร่องอยู่ให้เต็มเปี่ยม เพื่อว่าจะได้ปล่อยวางในทุกสิ่ง

ยอดปิยมิตรคนดี ครั้งหนึ่งฉันแสวงหา แล้วต่อมาฉันก็ได้พบ ‘มิตรแห่งรัก’ มิตรที่สอนให้ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายต่อหลายอย่างที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยให้ความสำคัญ เราสื่อสารกันผ่านตัวอักษรเพียงไม่นาน แต่จดหมายเพียงไม่กี่ฉบับนั้น ทำให้ฉันซึมซับความรู้สึกหลากหลายยามได้อ่าน-เขียน เรารู้จักผู้อื่นได้จากการอ่าน เรารู้จักตนเองได้จากการเขียน ฉันไม่มั่นใจว่าคำกล่าวนี้ถูกต้องนัก แต่ฉันก็ได้พิสูจน์ด้วยตนเองมาแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เราถูกฟูมฟักและเจริญเติบโตมาในโลกต่างใบ ไม่ใช่เรื่องประหลาดอันใดที่ความคิดอ่านของเราจะแตกต่างกัน แต่มันหาได้แตกต่างโดยสิ้นเชิงเสียทีเดียวหรอก บางเรื่องฉันยังคิดคล้ายเธอ และเชื่อว่าบางเรื่องเธอก็คิดคล้ายฉัน เรื่องราวที่เธอบอกเล่ามาในจดหมายฉบับล่าสุด ทำให้ฉันรู้ว่าเธอใช้ ‘ภาษาพิเศษ’ ที่ติดตัวสิ่งมีชีวิตทุกผู้นามมาแต่ถือกำเนิดสื่อสารกับสิ่งรอบตัว ต่างกับฉันที่ให้ความสำคัญกับภาษาพูดซึ่งเกิดจากการคิดค้น ดัดแปลง ของมนุษยชาติเป็นอันดับต้น

เรื่องเล่าของเธอทำให้ฉันประหวัดถึงวัยเยาว์ ที่ครั้งหนึ่งฝนตกหนักข้ามวันข้ามคืน จนน้ำนองหลากท่วมหลายพื้นที่ ลูกไก่ตัวหนึ่งเพิ่งแยกจากอกแม่หากินเองได้ไม่นาน หลงจากฝูงไก่ด้วยกัน มันไม่ได้อยู่ในที่ที่พ่อเตรียมไว้ให้พวกมันอาศัยกันปรอยฝน พ่อและแม่จึงตระเวนตามหาและพบมันซุกกายกกตัวเองอยู่ในดงกล้วย

ขนนุ่มๆ ของมันเปียกโชกไปหมด มันยืนสั่นงกๆ น่าเวทนายิ่งนัก แม่พยายามเช็ดขนเปียกๆ ให้แห้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหาเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เราไม่ใช้แล้วมารองในตะกร้าใบหนึ่ง จับมันวางไว้ข้างใน เอาผ้าอีกผืนมาคลุมตัวมันไว้ให้โผล่มาแค่หัว จนถึงตอนนั้นมันก็ยังยืนสั่นเป็นเจ้าเข้า พ่อแยกไปหาดวงไฟต่อสายมาจนถึงตะกร้าที่เราวางลูกไก่ตัวนั้นไว้ พ่อบอกว่า ความร้อนจากดวงไฟจะทำให้มันอบอุ่นขึ้น ก่อนเราปล่อยมันทิ้งไว้ตรงนั้น พ่อยังไปหายาพาราฯละลายน้ำมากรอกใส่ปากให้มันกิน และแม้ว่าเราจะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น แม่ก็ยังเดินวนเวียนไปดูมันรอบแล้วรอบเล่าเกือบทั้งคืน

ฉันไม่รู้ว่าที่พ่อกับแม่ทำไปทั้งหมดจะช่วยมันให้รอดได้หรือเปล่า แต่อย่างหนึ่งที่ฉันรับรู้ได้ตอนนั้นคือความอาทร ห่วงใย ที่พ่อกับแม่มีให้เจ้าลูกไก่ตัวน้อย

ใช่เลยสหายรัก ฉันเข้าใจได้โดยพ่อกับแม่ไม่ต้องเอ่ยปาก ภาษาของท่านสื่อสารผ่านการกระทำมาให้ฉันรับรู้

แน่ล่ะ ภาษานี้ย่อมตราตรึงแนบแน่นอยู่ในใจของคู่สื่อสาร เพราะมันเป็นภาษาสากลของจักรวาล อาบซ่านอยู่ในดวงใจของทุกชีวิตมาแต่ถือกำเนิด ไม่จำเป็นต้องมีใครมาสอนสั่ง เราเรียนรู้ได้เองโดยธรรมชาติ ต่างจากภาษาที่ฉันใช้ที่เพียงแค่ออกจากปากมันจะกลืนหายไปกับสายลมอย่างไร้ร่องรอย หากดีขึ้นมาหน่อยถ้ามันจะชำแรกเข้าไปฝังอยู่ในความทรงจำของใครบางคน กาลเวลาจะทำหน้าที่ต่อจากสายลมลบมันทิ้งไป

แต่ไม่ว่าจะภาษาไหนๆ ต่อให้เลิศเลอยังไง ก็ย่อมมีข้อจำกัดบางประการทำให้การสื่อสารผิดเพี้ยน เธอเคยคิดบ้างไหม หากใครบางคนที่เธอสื่อสารด้วยหาได้เปิดช่องความถี่เดียวกับสัญญาณที่เธอส่งมา ผลมันจะเป็นยังไง จะสื่อสารกันได้หรือ? ไม่ว่าผู้ส่งหรือผู้รับล้วนต้องปรับคลื่นสัญญาณให้ตรงกัน เธอสื่อสารกับสิ่งหนึ่งเข้าใจก็ใช่จะใช้วิธีเดียวกันนั้นมาสื่อสารให้อีกคนเข้าใจตรงกัน เหมือนที่เธอกล่าวในตอนต้นของจดหมาย ผีเสื้อแต่ละตัวใช่จะชมชอบเกสรดอกไม้จากต้นเดียวกัน ฉันใดก็ฉันนั้น

ตั้งแต่ครั้งที่พ่อกับแม่ช่วยกันประคบประหงมลูกไก่ตัวนั้น หัวใจฉันก็เปิดกว้างเพื่อรับสัญญาณใจที่อาจมีใครอีกหลายคนสื่อสารผ่านอณูอากาศ วินาทีนี้ฉันมั่นใจแล้วว่าในหลากสัญญาณเหล่านั้น มีสัญญาณของเธอแทรกซึมอยู่ด้วย เพียงแต่ฉันต้องปรับคลื่นความถี่อีกนิดหน่อยเพื่อให้ตรงกับคลื่นสัญญาณที่เธอส่งออกมา

หวังว่าอีกไม่นานภาษาที่เราสื่อสารจะสอดรับตรงกัน

คิดถึงอยู่ไม่คลาย
ระเบียงดาว
เริ่มกุมภาฯ เดือนแห่งรัก ดาวสีน้ำเงิน


@ จดหมายจากดาวสีดิน : เปิดใจ..แล้วเธอจะได้ยิน


ฉันรักเธอ เธอรักฉัน
เรารักกัน ซู่ซ่า ซู่ซ่า


ฉันรักเธอ เธอรักฉัน
เรารักกันมานานนักหนา
ดอกรักของเราเติบโตโสภา
จะมองกี่คราชื่นตาชื่นใจ


เธอหมั่นรดน้ำด้วยน้ำใจรัก
ส่วนฉันฟูมฟักคอยเอาใจใส่
ให้มันบานผลิแตกยอด กิ่ง ใบ
หยั่งรากลึกในดวงใจสองเรา


จะร้อนจะหนาวหรือเข้าหน้าฝน
เราไม่กังวล ดอกหล่น เหี่ยวเฉา
ดอกรักยังบานสะคราญพริ้งเพรา
ให้เราซบเงาเนาแนบแอบอิง

...

"นี่ตัวเอง เค้ารักตัวนะ"
"เค้าก็รักตัวเหมือนกัน"


อ๊าย !!!
ฉันรักเธอ เธอรักฉัน
เรารักกัน ซู่ซ่า ซู่ซ่า




*กิจกรรม 'ชวนปลูก (กลอน) รัก'

๏ งามพิศุทธ์ดุจดอกไม้เจ้าฉายโฉม
ลูบประโลมลวงใจให้ไหวหวาม
หมื่นพันพจน์บทกวีคลี่นิยาม
มิเทียมงามทรามสวาทนารถอนงค์

ยามเจ้ายิ้มพริ้มละไมในวงพักตร์
เพ็ญรูปลักษณ์เพลินจิตพิศวง
ละมุนเนื้อเนตรทรายพรายประจง
โอ้อ่าองค์งามพร้อมละม่อมสะอางค์

ดุจไม้งามทรามสง่าในป่าเขา
เจ้างามเงาเพราพริ้มเมื่อริมสาง
แย้มกลิ่นกรุ่นละมุนหอมถนอมนาง
กลีบอ่อนบางภมรกล่อมถนอมนวล

ให้เจ้าชูช่อสวยด้วยศรีเจ้า
ประโลมเล้าโลกชื่นดื่นหอมหวน
ขจรกลิ่นขจายกรุ่น อุ่นอวล
แย้มยวนโสภา สง่างาม

ให้เจ้าชมโลกกว้างอย่างใจฝัน
ผ่านคืนวันสวยใสไร้ไหน่หนาม
เป็นไม้ดอกเติบกล้าใต้ฟ้าคราม
งดงามคู่หล้าจนราโรย

อนิจจา เจ้าเติบกล้าในป่าปูน
แวดล้อมบริบูรณ์ 'ผู้หิวโหย'
ภมร ภู่ ภุมริน ร่อนบินโบย
ชอนสายลมชายโชยมาชมนวล

มิทันแย้มกลีบเจ้าก็เยินยับ
สิ้นน้ำหวานรานลับไม่กลับหวน
เสื่อมทุกสิ่งทุกอย่าง เสื่อมทั้งมวล
กลีบนวลกร่อนค่า...เจ้าราโรย...

OOO


ขอบคุณปรับแก้โดย ธุลีดิน
สหายที่รักยิ่ง

ห้องพัก 509 ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เยื้องๆ กับห้อง 510 ที่ฉันพักมีผู้มาอยู่ใหม่ราว 2-3 เดือนที่แล้ว จำได้ว่าเย็นวันนั้น ฉันยืนเกาะขอบหน้าต่างระเบียงทางเดินหน้าลิฟต์ มองตึกต่างๆ ที่เบียดเสียดกันเบื้องล่างไกลสุดสายตา เหนือขึ้นไปบนฟากฟ้าทิศตะวันออกระบายสีเทาอมชมพูให้ความรู้สึกอุ่นหวาม งดงามละไม ใกล้เข้ามาอีกนิดพอให้สายตาได้มองเห็นรายละเอียด ต้นโพธิ์ริมรั้วแห่งหนึ่งสะบัดใบพลิ้วไหวเล่นลม คล้ายกระดิ่งมีชีวิตนับหมื่นกำลังระบำเริงร่าไปกับทำนองมหัศจรรย์ ในความครุ่นคำนึงเหมือนว่าฉันจะได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งจากกระดิ่งใบไม้เหล่านั้น และอาจเป็นกระแสลมสายเดียวกันที่พัดมาระเรื่อยผิวหน้าให้รู้สึกสดชื่นสบาย พร้อมกับที่นกบางตัวส่งเสียงร้องก่อนโผบินถลาร่อนแล้วอีกตัวก็กระพือปีกโผทะยานตามไป

ฉันอิงกรอบหน้าต่างมองหลากสรรพสิ่งเบื้องหน้า ครุ่นคิดว่าถ้านำสิ่งที่เห็นมาเปลี่ยนเป็นตัวอักษรบนงานเขียน จะเป็นบันทึกสักฉบับหรือเป็นจดหมายบอกเล่าให้เธอฟังดี แล้วฉันจะบรรยายสิ่งที่เห็น ความสุขใจ ความปลอดโปร่ง ความสงบเย็น หรือความอิ่มเอมใจเหล่านั้นได้ยังไง ท้องฟ้าสีชมพูในม่านตาจะบอกให้เธอเห็นภาพงดงามเสมือนได้มายืนมองร่วมกับฉันได้ยังไงกัน นกร่อนถลาเล่นลมอยู่เบื้องหน้าฉันจะบอกเธอยังไงดีว่านกเหล่านั้นได้ชักชวนอิสรเสรีในตัวฉันให้โบยบินเริงร่าไปด้วย โพธิ์ระบัดใบที่เห็นจะทำยังไงให้เธอได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งจากกระดิ่งสวรรค์นับหมื่นนั่นเช่นเดียวกับที่ฉันได้ยิน

ความคิดต่างๆ หยุดลงเมื่อเสียงลิฟต์ดังขึ้น และประตูลิฟต์เปิดออก ฉันหันไปมอง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเข็นรถออกมานอกลิฟต์ ฉันยิ้มให้ เธอยิ้มตอบ แล้วเข็นรถไปจอดหน้าห้อง 509 ข้าวของต่างๆ ที่อยู่ในรถเข็นถูกทยอยนำลงมาวางหน้าประตู ฉันไม่รู้ว่าเจ้าของคนเก่าย้ายออกไปตั้งแต่ตอนไหน และถ้าวันนั้นฉันไม่ออกไปยืนชมวิวตรงหน้าต่างระบายลม ฉันคงไม่รู้ว่าฉันต้องเปลี่ยนเพื่อนข้างห้องใหม่อีกแล้ว

ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาเพื่อนร่วมห้องที่อยู่ด้วยกันมาร่วมหกปีลาพักร้อนกลับบ้าน ฉันที่ไม่ค่อยจะกล้านอนคนเดียวต้องหาใครอีกคนมาร่วมเตียงด้วย และใครคนนั้นที่ฉันหามาก็พอจะมีเซนต์กับเรื่องลึกลับอยู่บ้าง คืนหลังสุด เธอกระซิบบอกว่าห้อง 509 เลี้ยงกุมารทองไว้ แม้ฉันจะไม่มีเซนต์อะไรกับเรื่องนี้เลยแต่แค่ได้ฟังก็ยังขนตั้งไปด้วย

ถึงกำหนดเพื่อนร่วมห้องกลับ ฉันเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง ปรึกษาหารือตามประสาคนอยู่ร่วมกัน แล้วเธอก็ขุดเรื่องกุมารทองที่เคยฟังจากคนอื่นๆ มาเล่าให้ฉันฟังบ้าง จนฉันขนลุกขนพองไปหมด มีอยู่เรื่องหนึ่งเธอเล่าว่า อพาร์ตเมนต์ของเพื่อนคนหนึ่งมีคนเลี้ยงกุมารทองไว้ในห้องพัก บังเอิญช่วงหนึ่งเจ้าของห้องต้องไปทำธุระที่อื่นนานแรมเดือน เดือดร้อนถึงกุมารทอง ไม่รู้จะไปหากินที่ไหน เพราะไม่มีใครตั้งเครื่องเซ่นให้ ต้องปรากฏตัวให้คนห้องข้างๆ เห็น ขอข้าวเขากิน เที่ยวไปเคาะประตูห้องเขา กลางคืนก็เดินร้องไห้อยู่แถวระเบียง หาเจ้าของไม่เจอ คนที่เห็นที่ได้ยินเสียงแทบจะหัวใจวายไปตามๆ กัน พอเจ้าของห้องเจ้าปัญหานั้นกลับมา ก็โดนอัญเชิญให้ออกทั้งคนทั้งวิญญาณ

ฟังเรื่องที่เพื่อนเล่าแล้วไม่อยากจะบอกเลยว่าฉันนอนยุกยิกพลิกไปพลิกมาอยู่หลายคืน แค่พอหลับตาก็จินตนาการไปต่างๆ นานา หวั่นไปว่าถ้าฉันลืมตาขึ้นมาแล้วจะเจอใครมายืนมองอยู่หรือเปล่า?

วันหยุดของเพื่อนร่วมห้องเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเธอไปเที่ยวสวนจตุจักร หอบต้นไม้มาเต็มอ้อมแขน มีเพื่อนอีกคนที่ไปด้วยช่วยหอบมาอีกแรง กลับมาถึงห้องเธอฉีกยิ้มหน้าบานทันทีที่ฉันเปิดประตูให้ แล้วบอก “ฉันซื้อต้นวาสนามาให้แกด้วยแหละ คนขายเขาบอกกันผีเข้าห้องได้ ทีนี้แกก็ไม่กลัวกุมารทองหรือผีหน้าไหนแล้วนะ” ฉันซึ้งใจจนน้ำตาแทบร่วงเลยล่ะ

เธอเป็นคนย้ายกระถางและจัดระเบียบระเบียงใหม่ทั้งหมด ฉันได้แต่เฝ้าดู พอจะไปช่วยเธอก็บอก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลย ขนาดต้นกระบองเพชรแกยังปลูกตายมาแล้ว ให้ต้นไม้พวกนี้ผ่านมือแกเดี๋ยวมันก็ตายอีก” สหายต่างดาวจ๋า เธอควรจะรู้ไว้นะว่า ฉันน่ะแค่ทำต้นกระบองเพชรตาย แต่เพื่อนรักร่วมห้องของฉันปลูกอะไรมันก็ตายทุกต้น!

ตอนนี้ระเบียงห้องแออัดยัดเยียดไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ แม้แต่ต้นวาสนาที่เธอบอกว่าซื้อมากันผีมันก็กระจุกกันอยู่ตรงนั้น ตามระเบียบของอพาร์ตเมนต์ เราไม่อาจวางต้นไม้ใดๆ ไว้หน้าห้องได้ ยิ่งเข้ามาในห้องข้างประตูยิ่งแล้วใหญ่เราไม่มีพื้นที่มากพอให้วางต้นไม้ไว้ได้เลย พอฉันถามว่าเอาต้นไม้กันผีไปวางไว้บนระเบียงมันจะช่วยได้เหรอ เธอก็ตอบแบบขอไปที “เผื่อผีมันปีนเข้ามาทางระเบียงไง” โธ่เอ๊ย กุมารทองนะ ไม่ใช่จูออน!

แม้ตอนนี้บนระเบียงจะอัดแน่นไปด้วยต้นไม้ แต่ฉันเชื่อเหลือเกินว่ามันคงอยู่อย่างนั้นได้อีกไม่นาน ในเมื่อผ่านไปแค่ไม่ทันถึงอาทิตย์ กุหลาบเลื้อยสองต้นที่เธอเพิ่งซื้อมาใหม่ใบมันเริ่มเหลืองและโรยราแล้ว เห็นกุหลาบโรยหน้าคนปลูกก็เหมือนจะโรยตาม ตอนรดน้ำฉันเห็นเธอก้มๆ เงยๆ พลิกใบมันไปมา แล้วหันมาบอก “มันมีแมลง” ฉันไม่แน่ใจว่านี่ใช่ปัญหาหลักหรือเปล่า แต่เท่าที่ผ่านมาเธอซื้อกุหลาบมาทีไร ใบชุดแรกมันก็ไม่เคยอยู่เกินอาทิตย์สักที หลังจากนั้นมันก็จะกลายเป็นกุหลาบอัปลักษณ์ไร้สง่าราศีไม่อาจสู้หน้าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ได้อีก กว่าจะออกดอกมาให้ยลกันสักดอก เราต้องลุ้นกันตัวโก่ง แต่เมื่อการปลูกต้นไม้ รดน้ำพรวนดินให้มันยามมีเวลาว่าง คือความสุขของเธอ ฉันจึงได้แต่เฝ้ามองด้วยความสุขดุจเดียวกัน

สหายต่างดาวที่รัก จดหมายฉบับล่าสุดเธอคุยเรื่องต่างๆ หนึ่งในนั้นมีเรื่อง ‘ความคิดถึง’ บอกให้ฉันรู้ว่าเธอปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปโดยไม่เอาใจไปข้องเกี่ยว ฉันคิดว่าฉันพอจะเข้าใจความคิดของเธอได้ระดับหนึ่ง(แต่ไม่ยืนยันว่าจะเข้าใจได้ทั้งหมด) ถ้ามองในแง่ของเธอมันก็เป็นสิ่งดี กับการเฝ้ามองและส่งใจถึงด้วยปรารถนาดีอยู่ห่างๆ แต่ถ้ามองในแง่ของฉัน คนที่จะทำแบบนั้นได้หากไม่ใช่ผู้ฝึกฝนตนเองจนปล่อยวางได้ในทุกสิ่งแล้ว เขาคนนั้นคงจิตใจด้านชาไปแล้วแน่ๆ

เปล่าสหายรัก ฉันมิได้นึกต่อว่าใดๆ เธอเลย และฉันคงมิอาจหาญจะทำเช่นนั้นได้ ความคิดและความเชื่อของแต่ละคนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่ควรไปแตะต้อง ฉันเพียงอยากจะบอกเธอว่า การเก็บข่มความรู้สึกตนเอาไว้ในขณะที่อีกฝ่ายปรารถนาให้เธอแสดงออก มันเป็นการกระทำที่ดูจะโหดร้ายไปหน่อย

แน่ล่ะ เธออาจ ‘เถียง’ ว่าถ้าไม่รู้สึกใดๆ เลยล่ะ ถ้าความคิดถึงมิได้แผ้วผ่านเธอสักกระผีกริ้น ฉันก็จะ ‘เถียง’ เธอกลับว่า ฉันพูดถึงในอีกกรณีหนึ่งต่างหากเล่า!

ครั้งหนึ่งเคยมีใครบางคนถามฉันว่า “ไม่เจอกันหลายวัน คิดถึงกันบ้างหรือเปล่า?” ฉันอมยิ้มแล้วบอกเธอไปว่า “เฉยๆ” แน่ล่ะสหายรัก ฉันไม่ได้รู้สึกเฉยๆ อย่างที่ปากพูด แต่คำตอบนั้นมันทำให้เธอมองหน้าฉัน แล้วถาม “มันลำบากมากนักหรือกับการบอกว่าคิดถึงกัน ถ้าเธอพูดมันออกมามันจะทำให้เธอขาดใจตายหรือไง?” หลังจากนั้นเธอก็งอนฉันไปสามวันเจ็ดวัน ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมเธอถึงเป็นแบบนั้น ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น แต่ตอนนี้คิดว่าฉันเข้าใจแล้ว

และถ้ามีใครสักคนถามฉันว่า “คิดถึงกันบ้างมั้ย?” ถ้าแม้สักเพียงเสี้ยวความคิดที่ฉันประหวัดคิดถึงเขา ฉันจะตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า “คิดถึง” เหมือนกับตอนนี้ที่ฉันจะบอกเธอว่า ...“ฉันคิดถึงเธอ”...


ระเบียงพฤกษา
ปลายมกราฯ 2553

@ จดหมายจากดาวสีดิน : นั่นเป็นความรักที่ฉันมีให้


ข้าพเจ้าเพิ่งอ่านเรื่อง ‘รักลวง’ ของท่านทมยันตี จบไปเมื่อไม่นานมานี้ เนื้อหาคร่าวๆ ของเรื่องเป็นความรักของคนสามคน (สองหญิงและหนึ่งชาย)

‘นภลัย’ แฝดสาวผู้พี่ของนภกานต์ เธอเข้มแข็งร่าเริง และรักน้องสาวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ทุกสิ่งที่มีเธอสละให้น้องได้ไม่เว้นแม้ชีวิตตนเอง

‘นภกานต์’ แฝดน้องผู้อ่อนแอทั้งร่างกายและความคิด เป็นผู้รับมาตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้เธอต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา

‘อมรัส’ หนุ่มผู้ช้ำรักด้วยน้ำมือของนภลัย หวังให้นภกานต์มาแทนที่คนรักเก่า สุดท้ายเขาก็พบว่า หน้าตาเหมือนกันก็ใช่จะเหมือนกันทุกอย่าง ไม่มีใครมาแทนที่ใครได้

‘รักลวง’ มีขนาด 2 เล่มจบ ข้าพเจ้าเลือกหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาอ่านเพราะเห็นว่าหน้าปกสวยดี (ตามภาพประกอบด้านบนนั่นแล) แต่เมื่ออ่านจนกระทั่งถึงบรรทัดสุดท้าย ความรู้สึกเดียวที่คิดได้คือ ‘ไม่น่าหยิบมาอ่านเลย ให้ตายเถอะ!’

งานเขียนของท่านทมยันตีทุกเรื่องที่ข้าพเจ้ามีโอกาสได้อ่าน มักแฝงไว้ด้วยความเศร้าและโหยหาบางอย่าง อ่านแล้วรู้สึกโหวงๆ ลึกๆ ในหัวอก ต้องบอกตามตรงว่าข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบความรู้สึกแบบนี้นัก แม้บางเรื่องจะจบลงด้วยความสุขสมหวัง แต่กลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง คล้ายว่าลึกสุดแล้วชีวิตล้วนมีแต่ทุกข์ ไม่มีสิ่งใดเป็นสุขจีรัง นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบงานท่านทมยันตีเท่าที่ควร

ถึงแม้จะไม่ชอบแต่ข้าพเจ้าก็ยอมรับด้วยความสัตย์ซื่อ ว่างานท่านสนุกและน่าติดตาม อ่านแล้วชวนให้ตามอ่านไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้จะตะขิดตะขวงใจกับอารมณ์เศร้าที่ลอยอวลอยู่ทั่วไปในเนื้องาน แต่อารมณ์ขันที่แทรกอยู่ทั่วอณูตัวอักษรในอัตราส่วนไม่ต่างกัน เป็นส่วนผสมคลุกเคล้าลงตัวทีเดียว พาให้ข้าพเจ้าเดินทางจนถึงหน้าสุดท้ายในทุกเล่มที่ได้อ่าน

ถ้าจะให้อ่านงานท่านเพื่อศึกษา คงได้อะไรกลับมาเยอะแยะมากมายเชียวล่ะ แต่รอยหยักที่มีอยู่น้อยนิดในสมองของข้าพเจ้า จึงกอบเก็บอะไรต่อมิอะไรกลับมาได้น้อยเต็มที

สำหรับเรื่อง ‘รักลวง’ เพราะมันจบแบบเศร้าไปหน่อย นอกจากจะไม่ได้กอบเก็บความรู้ใดๆ กลับมาแล้ว ข้าพเจ้ายังต้องเสียน้ำตาให้เรื่องนี้อีกสามกะละมัง สุดเซ็ง...!


ลืมเสียเถิด...ความหลัง ฝังดวงจิต
ลืมเสียเถิด...มิ่งมิตร ขนิษฐา
ลืมเสียเถิด...ความเศร้า ร้าวอุรา
เสียเสียเถิด...แก้วตา อย่าอาวรณ์...



*กิจกรรม ชวนอ่านหนังสือ