ตื่นเช้าขึ้นมาตอนสายๆ
เปิดหน้าต่างออกไป
เห็นดอกไม้บาน
ผีเสื้อโบยบิน
นกน้อยร้องเพลง
สายลมพัดพลิ้ว


รอยยิ้มของฉันเบ่งบานกว่ากลีบดอกไม้
ความสุขของฉันเริงร่ากว่าปีกผีเสื้อ
ทำนองของหัวใจฉันไพเราะเพราะพริ้งกว่าเสียงนกน้อยขับขาน
ความคิดถึงของฉันลอยตามสายลมไปหาใครคนหนึ่ง
คนซึ่งอยู่แสนไกล


แต่ไม่ไกลเกินความคิดถึงเดินทางไปหา

...



ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต



๏ ตื่นขึ้นมาด้วยกลิ่นหอมของมวลไม้
มาโลมไล้ปลุกขวัญรับวันใหม่
ชื่นแดดเช้าหอมรื่นชื่นละไม
ชื่นอยู่ในรมณีย์นี้สุดทรวง


หอมเจ้าเอยหอมหวานตระการหอม
กลิ่นเจ้าล้อมห้อมแดนดั่งแหนหวง
โอบประคองตระกองซับสรรพสิ่งปวง
ในดงดวงห้วงหอมพยอมพันธุ์


หวานเจ้าเอยหวานล้ำฉ่ำพฤกษา
ซ่านอุราซึ้งจิตเกินคิดฝัน
ในรวยรินกลิ่นพฤกษ์ล้ำลึกนั้น
ฤๅเทพสรรสร้างสมให้ดมดอม


กลีบนวลขาวผ่องผุดพิศุทธิ์ใส
ยลยองใยยวนหยอกเจ้าดอกหอม
ซ้อนเชิงชั้นหลั่นลดสดสวยพร้อม
แอบอิงอ้อมกรุ่นไอในอุ่นอิง


เจ้าแย้มยั่วยวนเย้าในเงาแสง
เจ้าแต้มแต่งชื่นเจ้าตรู่ชูก้านกิ่ง
คลี่กลีบน้อยคล้อยคล้ายไม่ประวิง
บ้างหลบอิงอายไอร่มใบบัง


แสงสุรีย์ศรีส่องตระกองเจ้า
ผ่านชื่นเช้าเพริศแพร้วด้วยแววหวัง
เปี่ยมดอกใบสดสวยด้วยพลัง
แย้มสะพรั่งอวดฟ้ารับตาวัน


ในเช้าตรู่ของวันใหม่ได้ยลโฉม
ชื่นประโลมนวลผ่องละอองฝัน
ความรู้สึกลึกล้ำเกินจำนรรจ์
เริ่มต้นวันในเช้านี้...ช่างดีจริง.


แด่ เจ้าดอกแก้ว และเจ้ามะลิพิศุทธิ์ใส
แม้ร่างกายเจ้าดูเหมือนอ่อนล้าโรยแรง แต่ก็ยังอุตส่าห์แย้มดอกออกช่อ
เผยกลิ่นหวานล้ำให้ซ่านกำจายไปทั้งห้อง




๏ เจ็ดโมงยามเช้า...........มายืนชะเง้อ
เหลียวหาไม่เจอ...........โอ้เธออยู่ไหน

แปดโมงถัดมา..........ส่ายหน้าหน่ายใจ
หรือว่าคนไกล..................จะไม่ไยดี

เก้าโมงก็แล้ว...............กินแห้วหรือนี่
โอ้ดวงฤดี.................ไยพี่หลอกลวง

สิบโมงหน้าคว่ำ..........ชอกช้ำหนักหน่วง
ดวงใจทั้งดวง..............ยังห่วงอาวรณ์

สิบเอ็ดโมงผ่าน..............ทรมานสมร
ดวงใจรอนรอน..........ร้าวร้อนสุดทรวง

เที่ยงวันฝันสลาย..........รักหมายเคยหวง
เคยสุดแสนห่วง.............ต้องล่วงจำจาก

บ่ายโมงน้องนี้.................ฤดีทุกข์ยาก
พี่คั่นฯ มาจาก..............จำพรากลับตา

บ่ายสองจะถึง................ลึกซึ้งห่วงหา
ท่านที่คั่นฯ จ๋า............มาเลี้ยงข้าวที!!!


วาระปะฝีกลอนท่านคั่นฯ ใน 'เพลงบ้านลานดิน : คอย' โดย ธุลีดิน




๏ วันจันทร์หวั่นใจ............เยื่อใยผูกพัน
ที่เคยมีกัน..................จะสั่นจะคลอน

อังคารผ่านพ้น.........หมองหม่นทอดถอน
อก-ใจร้าวรอน...........ตะลอนเดียวดาย

วันพุธสุดแสน............เหมือนแม้นใจสลาย
คนใกล้แหนงหน่าย.........เดียวดายอกตรม

พฤหัสบดี....................น้องนี้ขื่นขม
ต้องนอนระทม..............ระบมร้าวราน

วันศุกร์แสนเศร้า..............ใครเขาสนาน
ต่างล้วนชื่นบาน..........เราพาลหมองหม่น

วันเสาร์เศร้าซึ้ง................คะนึงสับสน
คิดถึงบางคน..................ทุกข์ทนฤดี

อาทิตย์โศกศัลย์.............หวาดหวั่นเหลือที่
ทิดคั่นฯ คนดี............หนีกลับสุพรรณ !


วาระปะฝีกลอนท่านคั่นฯ ใน 'เพลงบ้านลานดิน : คอย' โดย ธุลีดิน



๏ หลายครั้งใจสั่นหวั่นวาบหวิว
สยิวสุดทรวงให้หน่วงหนัก
เคยคู่เรียงเคียงครองอยู่พร้องพักตร์
สุดจะหักความคิดถึงซึ้งกมล


ในคืนเหงาเศร้าแท้แค่แลหา
ดวงยิหวาอยู่แห่งใดไม่รู้หน
ใจร่ำร้องเรียกกู่อยู่สู้ทน
แม้หมองหม่นยังคงเพ้อชะเง้อคอย


ความอ้างว้างค้างเกี่ยวให้เปลี่ยวแสน
ทั่วทิศแคว้นแดนล้วนชวนเงื่องหงอย
ครู่คำนึงรำพึงหาน้ำตาปรอย
จนเดือนคล้อยล่วงลับไปกับตา


พร่ำรำพันฝันถึงคะนึงคู่
ท่ามฤดูเปลี่ยวเหงาเฝ้าฝันหา
ในร้อยรสบทรำพันจำนรรจา
วอนฝากฟ้าส่งใจไปเว้าวอน


ยังนั่งชมหมื่นดาวพริบพราวส่อง
หมู่ดาวพร้องแสงวาวพราวสลอน
ส่งคำรักเอ่ยถ้อยในร้อยกลอน
ให้เจ้านอนสุขสันต์ในฝันดีฯ



ต่อกลอน ท่านหนุ่มช่างสงสัย สหายสำนักหนอน ใน 'กล่อมกลอน : ในคำนึง'
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต




๏ หลายครั้งครู่ใจหวิวไหวหวั่น
หลายเรื่องรำพันในหวั่นไหว
มากเรื่องมากราวมาเร้าใจ
กักเก็บเหน็บไว้ในนิยาม

บางคืนบางค่ำยังครุ่นคิด
สะกิดตอกย้ำตั้งคำถาม
ยอกย้อนเย้ายั่วหลายชั่วยาม
ติดตามตรึงจิตความคิดตน

บางค่ำบางคืนในคะนึง
สำนึกลึกซึ้งดั่งล่องหน
ล่องลอยเรื่อยเรียงให้เพียงพ้น
หนีความจำทนระคนกัน

บางยามบางครู่ในตรู่เช้า
ความงามคละเคล้าในเงาสรร
ล้อมกายเกี่ยวใจได้ผูกพัน
เกี่ยวแขนคล้องฝันเคียงกันไป

บางครู่บางยามในความเหงา
ซุกเงาเดียวดายให้หวั่นไหว
ระทดท้อทอดถอนจนอ่อนใจ
หมดเยื่อร้างไยไร้อุ่นอิง

จะกี่ครู่กี่ครั้งตั้งคำถาม
ดวงใจไหวหวามกับบางสิ่ง
คำตอบซุกซ่อนย้อนความจริง
ที่เบือนนิ่งหาใช่...ไม่รักกันฯ(นะจ๊ะ)



ปลอมกลอน -ครู่คะนึง- ของท่านธุลีดิน ใน 'กล่อมกลอน : ในคำนึง'


๏ หลายครั้งครู่ใจหวิวไหวสั่น
หลายเรื่องร้อยพันให้หวั่นไหว
รุมเร้าร้อยรัดกระหวัดใจ
งุนงงสงสัยในนิยาม

บางค่ำบางคืนในครู่คิด
ดวงใจดวงจิตเฝ้าคิดถาม
ร้อยพันผ่านพ้นกับโมงยาม
ความเหงา ความงาม ติดตามตน

บางคืนบางค่ำในคำนึง
ความเหงาลึกซึ้งไม่รู้หน
ผ่านมาหาใช่เลยผ่านพ้น
แวะวนทายทักดั่งรักกัน

บางครู่บางยามในวิเวก
ความงามนับอเนกดั่งเสกสรร
รายล้อมรอบกายได้เกี่ยวพัน
เกี่ยวก้อยจูงฝันจับมือไป

บางยามบางครู่ฤดูเปลี่ยว
ปล่อยใจท่องเที่ยวในหวั่นไหว
เลี้ยวลดคดเคี้ยวเปลี่ยวไป
พบพานอันใด ได้อุ่นอิง

จะกี่ครั้งครู่คิดสะกิดถาม
ร้อยพันติดตามในทุกสิ่ง
คำตอบซ่อนไว้ ความเป็นจริง
สงบนิ่งซึมซับรับถ้อยความ.



ขอบคุณแรงบันดาลใจจาก
กวีก้าวฯ : บางการผลิบาน โดยท่านกวิสรา ในก้าวรอก้าว ฉบับที่ ๒๗
และนายช่างประจำตัว


๏ เดือนเด่นดับลับดวงในช่วงดึก
คะนึงนึกอาวรณ์ย้อนถวิล
คะนึงร้องร่ำหาอยู่อาจิณ
ยังเยือนยินยามเหงาแห่งเยาว์วัย

ดาวกะพริบวิบวับกับฟ้ากว้าง
มองดาวพร่างน้ำตานองต้องแก้มใส
หยาดหยดรื้นร่วงหล่นกลิ้งกล่นไป
ขอส่งใจฝากข่าวผ่านดาวราย

ฝากไปถึงความหวังรอฟังข่าว
ฝากไปถึงครู่คราวของเป้าหมาย
ฝากไปถึงเพลงฝันอันพริบพราย
ฝากไปถึงดาวฉายของวัยเยาว์

ฝากไปถึงห้วงรันทดคราหมดหวัง
ฝากไปถึงรอยพลั้งครั้งโง่เขลา
ฝากไปในสายลมพัดแผ่วเบา
บอกว่าฉันแสนเหงาอยู่เดียวดาย

ในรายล้อมของมนุษย์รุดสมัย
กอบเก็บซากดวงใจแหลกสลาย
เติมต่อฝัน ฝันต่อไฟไม่เว้นวาย
แหละยังคงเวียนว่ายชะตากรรม

ชะตาฟ้าลิขิต-ชีวิตเขียน(?)
ให้ซอกซอนบ่อนเบียนในชอกช้ำ
ให้ร้อนร้าวหนาวเหน็บเจ็บระกำ
ต้องกลืนกล้ำตามวิถีที่โสมม

เคยหลบยุคซุกใจในซอกหลืบ
ไยยังตามคลานคืบเข้าเค้นข่ม
ไยยังหลอกไยยังหลอนให้ร้อนระทม
ร้าวระบมมาเนิ่นนานกับวันคืน

จะมีไหมสักขณะของหัวใจ
ที่สิ้นไร้เรื่องราวข่าวขมขื่น
ที่สิ้นไร้ทุกข์ช้ำรอยกล้ำกลืน
เพียงเสี้ยวคืนในครู่ฝัน - ฉันพอใจ!

...

ปรับแก้โดย ธุลีดิน




๏ เก็บดอกไม้มาฝาก…...................เก็บมาจากที่มีรัก
เก็บมาให้คนรู้จัก........................มอบด้วยรักหมดทั้งใจ

เก็บไว้ในอ้อมกอด........................นะเจ้ายอดดวงหทัย
เพราะมันสื่อสายใย....................คล้องดวงใจเรารวมกัน

ไม่ว่าอยู่หนใด...........................จะใกล้–ไกลไม่สำคัญ
เราต่างสานสัมพันธ์....................ผ่านคืนวันมายาวนาน

ข้อความตัวอักษร......................ทุกวรรคตอนที่สื่อสาร
เรียงร้อยเป็นสร้อยกาล..................ซึ้งซาบซ่านในดวงใจ

บุพเพชักนำเรา..........................มาแนบเนาในสายใย
มิตรภาพแตกกิ่งใบ....................แผ่กว้างใหญ่เกินคณา

เราร่วมกันขีดเขียน....................ร่วมแลกเปลี่ยนอักขรา
ผิด–ถูกชี้นำพา...........................จนภาษาแตกกล้ากอ

สัมพันธ์ฉันน้องพี่........................ที่เรามีไม่เสื่อมคลอน
ผ่านฤดูทบบทตอน.....................เกินถ่ายถอนให้จืดจาง

เส้นทางแต่ละคน....................อาจมืดมนอาจเคว้งคว้าง
เหนื่อยล้าและอ้างว้าง.................ขอเธอย่างอย่างทระนง

ฉันส่งใจอยู่ตรงนี้......................ปรารถนาดีอย่างมั่นคง
มอบรักอย่างซื่อตรง....................ขอเธอจงก้าวหน้าไป

ให้ประสบทุกสิ่งหวัง.........................มีพลังอันยิ่งใหญ่
เกื้อกูล,เปี่ยมน้ำใจ.......................ธำรงในคุณความดีฯ

...

วาระกำนัลปีใหม่ ๒๕๕๒ แด่สหายในสำนักหนอน
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต



ดอกรักที่เบ่งบานบนต้นรักที่ร่วงโรย
เมล็ดพันธุ์ทางความคิดในชีวิตที่ไร้ความหมาย
สองสิ่งผูกพัน
หนึ่งสิ่งเริ่มต้นอยู่บนหนทางของการสิ้นสุด
และอีกหนึ่งสิ่งต้องสิ้นสุด ในขณะที่บางอย่างกำลังเริ่มต้น

มีหลายอย่างควบคู่อยู่บนหนทางแห่งเส้นขนาน
..ดำรงอยู่และลาลับ..
นี่หรือคือชีวิต?

น่าจะมีบางอย่างที่คงอยู่และมั่นคง แต่สิ่งนั้นคืออะไร?

รอยยิ้มที่เบ่งบานและหัวใจที่ค้านชา เกิดขึ้นในชีวิตคนหนึ่งคน
อะไรที่คนหนึ่งคนนั้นสัมผัสและพบเจอ?

เสียงหัวเราะสดใสและเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ผ่านมาจากริมฝีปากคู่เดียวกัน
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

ความเดียงสาอ่อนเยาว์ ถูกแทนที่ด้วยความกร้านกล้าและจริตมารยาสารพัด
เพราะอะไรถึงเปลี่ยน?

ในโลกที่แล้งไร้ และหัวใจที่หิวโหย
แสวงหาและเติมเต็ม
แต่เหมือนราดน้ำลงบนผืนทราย ชุ่มฉ่ำ สักพักก็เหือดหาย

อาจเพราะ...
ชีวิตมีสว่างและมืดมน
ชีวิตมีสุขสันต์และตรอมตรม
ชีวิตเป็นมาและเป็นไป


ฉันจึงควรเข้าใจ.................และปล่อยวาง

๑.
มีหมู่บ้านหนึ่ง ผู้คนอาศัยอยู่ไม่มากไม่น้อย
ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
บ้างประมงน้ำจืด หรือรับจ้างทั่วไป

ทุกเช้า เหล่าคนวัยทำงานทั้งหลายต่างออกจากบ้านไปทำหน้าที่ของตน
ส่วนคนเฒ่าคนแก่ คอยดูแลลูกเด็กเล็กแดงอยู่ที่บ้าน

ทุกคนล้วนดำเนินชีวิตตามวิถีดั้งเดิม
เรียบง่าย เผื่อแผ่ และเอื้ออาทร
ทุกคนมีความสุข ทุกมื้อได้อิ่มหนำ กับครอบครัวที่อบอุ่น

๒.
วันหนึ่ง มีพ่อค้าคนหนึ่งเข้ามาในหมู่บ้าน
ชาวบ้านทุกคนล้วนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
ตามวิสัยคนมีน้ำใจ และไร้เล่ห์เหลี่ยม

พ่อค้าเมื่อได้เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านที่รายล้อมไปด้วยทรัพยากรอุดมสมบูรณ์
หัวการค้าอันฉลาดล้ำ ก็คิดคำนวณ
บวก ลบ คูณ หาร ออกมาเป็นตัวเลข
เขาติดต่อพ่อค้าจากหมู่บ้านอื่น ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่รู้จัก
เพื่อปรึกษาหารือ หวัง 'กอบโกย' ผลประโยชน์จากทรัพยากรในหมู่บ้าน

ไม่กี่วันต่อมา ด้วยความรวดเร็วทันใจ
เขานำหลายสิ่งหลายอย่างเข้ามาในหมู่บ้าน
และบอกกับชาวบ้านว่า
มันจะทำให้พวกท่านมีกินมากขึ้น มีใช้มากขึ้น
และที่สุด ทุกคนจะมีความสุขมากขึ้น

๓.
หลังจากวันนั้น วิถีชีวิตของชาวบ้านก็เปลี่ยนไป
ความเรียบง่ายกลายเป็นความวุ่นวาย
การเผื่อแผ่กลายเป็นแก่งแย่งแข่งขัน
มีข้าวกิน แต่ไม่พออิ่ม
มีบ้านอยู่ แต่ไร้ความอบอุ่นอาทร
ความสุขที่เคยมีไม่มีใครมองเห็นคุณค่า

เพราะพวกเขาสนใจความสุขที่มากกว่า
แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นยังไง?

ทางด้านพ่อค้ามองดูความวุ่นวายด้วยความอิ่มเอม
เพราะมันสามารถทำให้เขากอบโกยได้อย่างไร้ขีดจำกัด

๔.
เมื่อความวิกฤติถึงขีดสุด (ใกล้ความวิบัตินิดเดียว)
มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง ที่เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงด้วยความห่วงใย
ลุกขึ้นมากระชากหน้ากากของพ่อค้า'จอมโฉด'
ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
หลายคนเห็นความจริงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
และพร้อมใจกันกำจัดสิ่งแปลกปลอม

แต่อนิจจา พ่อค้าไหวตัวทัน
ดันหนีไปหลบซ่อนตัวที่หมู่บ้านอื่น

ชาวบ้านทั้งหลายหันกลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง
แต่ สายน้ำไหลไปไม่หวนกลับฉันใด
วิถีชีวิตที่แปรเปลี่ยนย่อมไม่หวนคืนฉันนั้น
น่าประทับใจตรงที่ทุกคนก็ยังพร้อมใจกันพยายาม!

๕.
วันเวลาผ่านไป
เรื่องราวครั้งเก่าก่อนดูเหมือนจะลางเลือนไปตามกาลเวลา
พ่อค้าได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง
น่าแปลก ที่ชาวบ้านก็ยังเต็มใจต้อนรับเขาเช่นเคย

แต่น่ากลัวแท้
เขากลับมาคราวนี้ เขาได้พกพาบางสิ่งติดตัวมาด้วย
นั่นคือ กระต่ายขูดมะพร้าว!!!


และตั้งแต่นั้นมา นกเอี้ยงก็ไม่เคยไปเลี้ยงควายอีกเลย!!!!!!!

๑.
รถยนต์คันหนึ่ง
แล่นออกจากกรุงเทพ
มุ่งหน้าสู่มาตุภูมิของคนขับและเพื่อนร่วมทาง

ในรถดังระงม
ด้วยสรรพสำเนียงแห่งเสียงหัวเราะ
และการพูดคุย
ทุกใบหน้าอาบแต้มด้วยรอยยิ้ม

๒.
การเดินทางดำเนินไปเหมือนไม่จบสิ้น
แต่ความหวังยังคงคุกรุ่นอยู่ในหัวใจเ
สียงโทรศัพท์ดังทุกชั่วโมง
เหมือนสื่อความห่วงใย

จุดหมายปลายทางคือบ้านเล็กหลังหนึ่ง
บ้านไม้ธรรมดา เก่าๆ ผุๆ
แต่มีมนต์ขลังแห่งการบ่มเพาะจิตวิญญาณ
และมีตำนานแห่งการเจริญเติบโต

๓.
หญิง-ชายชราคู่หนึ่งเดินวนเวียนอยู่หน้าบ้าน
ด้วยความกระวนกระวาย รอคอย และจดจ่อ
ทันทีที่รถเข้ามาจอด
ทุกความรู้สึกแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกระจ่างเต็มดวงหน้า

อาหารพร้อมสรรพรอรับการมาถึง
จัดวางเรียบร้อยอยู่บนโต๊ะ
ทุกอย่างคือสิ่งที่ชอบ ทุกอย่างคือของโปรด

ทุกการกระทำคือความสดใส
แม้วัยจะเรียกว่าไม้ใกล้ฝั่ง
ทุกรอยยิ้มพิศุทธิ์
บ่งบอกถึงความสุขสมหวัง

มิใช่มาจากเงินทอง
มิใช่มาจากของฝาก
แต่มาจากคำว่า พร้อมหน้าพร้อมตา

๔.
ทุกจุดหมายไม่เคยเหนี่ยวรั้งผู้เดินทางไว้ได้นาน
รถยนต์คันเดิม ผู้เดินทางกลุ่มเดิม
กับหญิง-ชายชราคู่เดิม
แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับกลายเป็นรอยหม่นเศร้า
ของความเหงาและความห่วงหา

มือเหี่ยวๆ ค่อยๆ ยกขึ้นโบกแทนคำกล่าวลา
พร้อมกับน้ำใสๆ ที่รินไหลจากดวงตา

รถยนต์คันเดิมเคลื่อนไปบนเส้นทางเก่า
ในบรรยากาศของความเงียบเหงา
บนรถเงียบสงบไร้เสียงพูดคุย

ไม่รู้ว่าแต่ละคนคิดอะไร
แต่ในใคฉันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นในความเงียบ

"ไม่นาน ฉันจะกลับมา.."


...





๑.
ณ สวนดอกไม้กว้างใหญ่
ดอกไม้ดอกหนึ่งแรกแย้มกลีบ
ผีเสื้อตัวหนึ่งบินมาจากแดนไกล
พานพบและหลงรักเจ้าดอกไม้ในทันใด

หลังจากนั้นทุกวันผีเสื้อไม่เคยห่างไกล
เฝ้าคลอเคล้าหยอกเย้าเจ้าดอกไม้
พร้อมเอ่ยพร่ำรำพันว่า..ฉันรักเธอ

ความรักงดงามเบ่งบานล้นใจ
จากผีเสื้อปีกใสสู่ดอกไม้แสนหวาน
โลกของทั้งสองจึงแสนชื่นบาน
เหมือนบทเพลงขับขานตามท่วงทำนองแห่งรัก

๒.
จนกระทั่งวันหนึ่ง เรื่องราวช่างเลวร้าย
คนเฝ้าสวนเดินมาพร้อมตัดกิ่งก้าน
พรากเจ้าดอกไม้แสนหวานไปจากผีเสื้อปีกใส

ผีเสื้อผู้มั่นคงในรักเฝ้าบินตามเจ้าดอกไม้ไป
สุดท้ายเกินที่เรี่ยวแรงจะตามไหว
มันตะโกนก้องร้องบอกดอกไม้ไป
ไม่ว่าเธอจะอยู่แห่งไหนโปรดรู้เอาไว้
'ฉันจะรักเธอไม่เสื่อมคลาย'

๓.
ความรักมักมีในทุกสรรพสิ่ง
และถ้ามองตามความเป็นจริง ทุกสรรพสิ่งล้วนเกี่ยวพัน

ดอกไม้งดงามถูกนำมาจัดวางไว้
ในโถใบใหญ่ของร้านขายดอกไม้
ชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในร้าน
และดอกไม้แสนหวานก็ผ่านการเลือกสรร

ไม่นาน มันได้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาว
ทั้งผู้รับและผู้ให้ต่างยิ้มสดใสชื่นบาน
แต่ถ้ามองไปที่เจ้าดอกไม้แสนหวาน
กลับพบเพียงคราบน้ำตา

ดอกไม้ไม่เคยเข้าใจ
เหตุใด มนุษย์ต้องส่งมอบความรักด้วยการพรากความรัก
แล้วมนุษย์จะรู้บ้างไหม
ว่าได้พรากความรักของใครบ้าง?

นาทีแล้วนาทีเล่าที่ผ่านเลยไป
ทำให้กลีบของเธอเริ่มโรยรา
ในขณะที่ความห่วงหากลับเพิ่มทวี

๔.
ทุกเรื่องราวย่อมมีบทสุดท้าย
เฉกเช่นเรื่องราวของเจ้าดอกไม้

ขณะที่ลมหายใจเริ่มรวยริน
กลับรู้สึกเหมือนเสียงใครกระซิบให้ได้ยิน
'ฉันยังคงรักเธอไม่เสื่อมคลาย'

น้ำตาแห่งรักมั่นเอ่อล้นไหลริน
กระซิบตอบความตามสิ่งที่ได้ยิน

'ฉันก็รักเธอ..ไม่เสื่อมคลาย'


ก่อนกลีบสุดท้าย จะหลุดร่วงไป...

...



ขอบคุณภาพประกอบจากอินแตอร์เน็ต




๏ จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า…
ไยความเศร้าจึงเข้ามาทายทัก
ไยชีวิตนี้ช่างหน่วงหนัก
ขอฉันพักได้ไหมสักราตรี

ซุกกายอยู่ในความเหงา
รับฟังเรื่องเล่าที่เธอมี
เรื่องราวทั้งหลายทั่วทุกถิ่นที่
ขอให้ฉันฟังเรื่องดีดีจากเธอ

๏ จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า…
ฉันเคยโง่เขลามาเสมอ
ทุกสิ่งอย่างที่ผ่านพบเจอ
ฉันคร่ำครวญเพ้อเจ้ออยู่เพียงลำพัง

วันคืนล่วงผ่าน
เหลือเพียงตำนานแห่งความหลัง
ตำนานสวยงามและเปี่ยมพลัง
กลายเป็นซากผุพังท่วมท้นหัวใจ

๏ จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า…
ชีวิตจะทอดยาวอีกแค่ไหน
บนทางเดินที่โรยร้างไร้
ฉันจะหอบซากดวงใจไปได้อย่างไรกัน

ชีวิตช่างรวดร้าว
ฉันแสนเหน็บหนาวหวาดหวั่น
หลายครั้งคราวที่ต้องฝ่าฟัน
ฉันแทบอาสัญสิ้นลม

๏ จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า…
ส่งยิ้มเหงาเหงาไปให้เธอแล้ว
อยากได้ใจฉันกลับมาผ่องแผ้ว
แต่ไม่แคล้วยังเศร้าหมองนองน้ำตา

๏ จันทร์เจ้าขา…
บอกหน่อยเถิดหนาฉันจะทำฉันใด
ให้ชีวิตจากวันนี้จวบจนตลอดไป
ฉันมีแรงหอบดวงใจไปจนสุดปลายทาง...

...



แด่ คืนเหงาเหงา สับสน และเดียวดาย
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
๏ เมื่อดวงใจร่ำร้องคะนองรัก
จะหาญหักอย่างไรนะใจเอ๋ย
จะปล่อยปละผละใจกระไรเลย
โอ้อกเอ๋ยรรรงม*ไม่สมประดี


เมื่อดวงใจร่ำหาคราคิดถึง
ให้ดาวดึงส์หรือนรกทุกซอกลี้
ทั่วทิศหล้าพื้นพสุธาปฐพี
จะจรลีไปร่วมเรียงเคียงภิรมย์


แค่ให้ใจมาดมั่นว่าหมายคู่
จะร่วมอยู่เคียงขวัญกันเหมาะสม
จะร่วมเรือนเยื้อนยิ้มให้พริ้มพรม
ด้วยดวงใจชิดชมภิรมย์รัก


แค่ให้รู้ว่ารักจริงไม่ทิ้งขว้าง
จะถอดวางดวงมาลย์สมานสมัคร
ทุกห้วงใจยอมพร้อมถนอมรัก
จะร้อยปักถักสร้อยไว้ร้อยใจ


หากว่ารักก็โปรดเถิดอย่าเมินหนี
นะคนดีเห็นไหมนั่นพระจันทร์ใส
ส่งยิ้มงามวามวาวพราวละไม
ส่งหน้าบึ้งกลับไปได้ไงกัน


หากยังรักก็โปรดเถิดอย่าเชิดใส่
ถอดดวงใจวางให้แล้วนะแก้วขวัญ
อย่าได้เมินอย่าได้หมองไม่มองกัน
โธ่..ชีวัน อย่าตัดพ้อให้ง้อนาน.

...



*ขอบคุณคำ "รรรงม" ใน "บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร"
ของท่านกนกพงศ์ สงค์สมพันธุ์